พลิกมิติการเรียนรู้ 'นิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ'

พลิกมิติการเรียนรู้
'นิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ'

อัตรานักศึกษาระดับปริญญาตรีจบใหม่กับอัตรการว่างงานที่เดินไปแบบไม่สมดุล ถือว่าเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้ประกอบการธุรกิจ และผู้บริหารสถาบันการศึกษาต่างก็ตระหนัก

และมองหาทางออกร่วมกันตลอดหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ผู้บริหารธุรกิจส่วนหนึ่งร่วมกันสะท้อนมุมมองออกมาอย่างน่าสนใจถึงความสำคัญของเด็กยุคใหม่ และคาดหวังถึงกระบวนการผลิตนักศึกษาที่สามารถตอบโจทย์ได้จริงในการทำงาน
มุมมอง ศิวัตร เชาวรียวงศ์ นายกสมาคม Digital Advertising association และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร mlnterraction ที่ว่า "คน" วันนี้ยังเป็นปัญหามาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทำงานในบริษัทลดน้อยลง สิ่งที่ผู้บริหารองค์กรต้องสื่อสารให้ชัดก็คือ มาทำงานแล้วจะเกิดข้อดีอย่างไร และไม่ดีในเรื่องใดบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
ในแบบฉบับเฉพาะตัว ผมให้เริ่มทดลองงานหนึ่งวันแล้วก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำงานนี้ต่อไปหรือไม่ ที่สุดแล้ว ทดลองงานวันเดียวแล้วก็ไม่กลับมาอีก
ชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง M8VC จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่ผู้บริหารต้องทำความเข้าใจก็คือ เด็กยุคนี้เราเข้าถึงได้ยากขึ้น บางครั้งใช้ใบสมัครและประวัติที่ดูดีมาก สิ่งที่ผมทำก็คือ การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คให้เป็นประโยชน์ หลังๆ ก็ใช้ช่องทางนี้เป็นตัวสกรีนพนักงานมากขึ้น
ปรีดา ยังสุขสถาพร Director Institute for Creative Economy ICE มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า องค์กรสมัยใหม่ปรับใช้บุคลากรจากทั้งในองค์กร และภายนอก สิ่งสำคัญต้องรู้ว่างานนั้นจะใช้ใคร กระบวนการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญ
เสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการธุรกิจที่เป็นผู้ใช้บัณฑิตโดยตรงต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็นำมาถึงการตีโจทย์ให้แตกของผู้บริหารสถาบันการศึกษาถึงกระบวนการ "สร้าง" และ "พัฒนา" ที่ตอบโจทย์
การเรียนการสอนนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ก็ใช้การเปลี่ยนแปลงของเด็กและธุรกิจที่เกิดขึ้นมาพัฒนาการเรียนรู้ที่ต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างวิชาการกับคนที่ทำงานจริง
"ต้องไม่ลืมที่จะเข้าใจเด็กรุ่นใหม่ หลายๆ งานวิจัยสะท้อนออกมาถึงในด้านดี การมีจิตอาสา และพร้อมช่วยเหลือคนอื่น แต่อีกด้านเด็กยุคนี้จะมีความหลงตัวเอง เห็นได้จากการ "ถ่าย(ภาพ)และแชร์ ในโซเชียลมีเดียซึ่งแตกต่างจากคนในยุคก่อน" ดร.พีรยา หาญพงศ์พันธุ์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว
สิ่งที่แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัวก็คือ Mindset ของตัวเอง การมองโลกใบใหม่ที่ปัญหาสามารถเกิดขึ้นได้เร็วมาก และตลอดเวลา การเข้าแก้ไขปัญหาจะปราศจากโซลูชั่นไม่ได้ และสุดท้ายคือ วันนี้ต้องยึด Human Centric เป็นตัวตั้ง และการทำงานทุกอย่างต้องมองเป็นกลยุทธ์
ในส่วนของคณะนิเทศศาสตร์ ม.กรุงเทพ ก็มองถึงกระบวนการเรียนการสอนนิเทศศาสตร์ต้องปรับกระบวนใหม่จากเดิมสู่แนวทาง Co-Creation Learning มากขึ้นเช่นกัน โดยเป็นการผสมผสานระหว่างนักวิชาการ กับ มืออาชีพ ที่จะสร้างการเรียนรู้ร่วมกันกับเด็กๆ โดยยึดความมีส่วนร่วมเป็นหัวใจ ซึ่งการเรียนรู้ในลักษณะนี้เชื่อว่าจะทำให้องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นมีมิติและนำไปต่อยอดได้
ปัจจุบันคณะนิเทศศาสตร์เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี 7 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ สาขาวิชาวารสารศาสตร์ สาขาวิชาการโฆษณา สาขาวิชาศิลปะการแสดง สาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ สาขาวิชาภาพยนตร์ และ สาขาวิชาการสื่อสารตรา
หลักสูตรปริญญาโท ปัจจุบันเปิดสอนหลักสูตรภาษาไทย นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสื่อสารเชิงกลยุทธ์ และ นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารธุรกิจบันเทิงและการผลิต ส่วนของ Master Degree (International Program) เปิดสอน Master of Communication Arts (Global Communication)
รูปแบบการเรียนรู้ที่ต้องก้าวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไปนั้น วันนี้ทางคณะฯ ได้เริ่มทำไปแล้วในหลายๆ ส่วน อาทิ สาขาวิชาวารสารศาสตร์ มีการสร้าง Digital Journalist Newsroom เป็นลักษณะคล้ายห้องปฏิบัติการของการทำงานสื่อสารมวลชนในยุคดิจิทัล เพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์ และเข้าถึงกระบวนการทำงานจริงตั้งแต่เริ่มเรียนในปีแรกของการเรียนการสอน
ในส่วนของสาขาวิชาศิลปะการแสดง มีการสร้าง Digital Drama เรียนรู้ถึงกระบวนการสร้างเนื้อหาในรูปของดิจิทัล ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับพาร์ทเนอร์องค์กรสื่อ และเอเจนซี่ Y&R Worldwide ในการพัฒนาการเรียนการสอนร่วมกัน
การพบกันระหว่าง "วิชาการ" กับ "มืออาชีพ" จะมีให้เห็นมากขึ้นในการเรียนการสอนของคณะฯ ซึ่งแนวทางการบูรณาการในรูปแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในส่วนของการเรียนในระดับปริญญาตรีเท่านั้น โดยได้มีการผลิตหลักสูตรระยะสั้น BU.I.L.D. (Bangkok University Integrated Learning & Development) ขึ้นมา
"หลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี วันนี้ผลิตไม่ทันความต้องการของผู้ต้องการใช้ ทำให้มองถึงการผลิตหลักสูตรระยะสั้นขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การสร้างนักการตลาดป้อนให้กับธุรกิจยุคเศรษฐกิจสร้างสรรค์"
หลักสูตร BU.I.L.D. ประกอบด้วย 4 หลักสูตร คือ 1. Digital Marketing for Tomorrow Brands หลักสูตรสร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล โดยมองผู้เรียนในกลุ่มผู้บริหาร นักการตลาด นักโฆษณา นักวางแผนสื่อ ผู้ประกอบการ ที่ต้องการใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง 2. How to Win AEC Online Consumer for Thai SMEs หลักสูตรการสร้างกลยุทธ์การตลาดบนโลกออนไลน์
3. Build Tech Start-up Brand with Creative Marketing หลักสูตรที่เน้นสร้างนักพัฒนาแอพพลิเคชั่น พัฒนาคอนเทนต์ และเจ้าของธุรกิจออนไลน์ และ 4. Unconventional Creative Media หลักสูตรเสริมทักษะการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ สำหรับกลุ่มครีเอทีพ นักสื่อสารการตลาด นักประชาสัมพันธ์ และผู้ที่สนใจที่ต้องการเข้าถึงสื่อใหม่
การเรียนการสอนเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ (กันยายน 2556-พฤศจิกายน 2556) ที่ ดร.พีรยา บอกว่า นี่เป็นเพียงหลักสูตรนำร่อง เพราะภายใต้ BU.I.L.D.ยังมีหลักสูตรอื่นๆ ที่เตรียมพัฒนา เพื่อเป็นทางลัดในการผลิตคนให้ทันต่อการเติบโตของภาคธุรกิจโดยเฉพาะการป้อนคนเข้าสู่ ดิจิทัล ทีวี ที่กำลังจะเกิดขึ้น
"ที่่ผ่านมาผลิตและป้อนให้ (ธุรกิจ) เท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะหากันไม่เจอ รู้เฉพาะวิชาการไม่พอ ยังต้องใช้มืออาชีพมาบูรณาการ ซึ่งแนวทางของคณะฯ ได้ปรับให้เป็น Creative Convergence เกือบทั้งหมดแล้ว เพราะมองว่าจากนี้ไป Content จะมีบทบาทสำคัญที่สุด" คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว