พลิกแฟ้ม'กรอบดูแลเศรษฐกิจ 2556

พลิกแฟ้ม'กรอบดูแลเศรษฐกิจ 2556

พลิกแฟ้มกรอบดูแลเศรษฐกิจปี"56 จำเป็นหรือไม่ต้องกระตุ้นรอบใหม่

แนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยค่อนข้างมาก ทำให้รัฐบาลเริ่มมองหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และแนวนโยบายการดูแลไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เคยมีการเสนอมาแล้ว ต่อไปนี้เป็นมาตรการที่เคยเสนอในช่วงที่เผชิญกับเงินทุนไหลเข้า และทำไมสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)จึงบอกว่าไม่มีมาตรการใหม่ออกมาในรอบนี้ เพราะได้เสนอไปหมดแล้ว]

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2556 ได้อนุมัติ "กรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ 2556" ตามข้อเสนอของสศช. ซึ่งได้รายงานปัจจัยและความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปี 2556

ทั้งนี้ สศช. รายงานครอบคลุมในทุกด้าน และได้เสนอมาตรการสำคัญ ประกอบด้วย มาตรการสนับสนุนด้านการเงินและการคลัง ซึ่งเป็นมาตรการที่มีผลเป็นการทั่วไป และมาตรการเฉพาะด้านซึ่งจะมีความเจาะจงถึงกลุ่มเป้าหมายหรือสาขาการผลิตและบริการเฉพาะด้าน

ข้อเสนอดังกล่าวประกอบด้วย 3 มาตรการหลัก และ 22 มาตรการย่อย ดังนี้

มาตรการทางด้านการเงิน

1. ดำเนินการซื้อขายเงินตราต่างประเทศในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากกว่าความสามารถในการปรับตัวของภาคการผลิตและบริการ หรือมีความผันผวนรุนแรงจนเป็นปัญหาในการกำหนดราคา การส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพและศักยภาพ ในการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้การดำเนินการอยู่ในความรับผิดชอบของ ธปท. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

2. ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย ให้มีความแตกต่างของดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยพิจารณาปัจจัยรอบด้านทั้งการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน อัตราเงินเฟ้อ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และภาวะฟองสบู่ของการลงทุน ซึ่งการดำเนินการอยู่ในอานาจหน้าที่ ตามกฎหมายและความรับผิดชอบของ กนง.

3. ใช้มาตรการการกับดูแลสถาบันการเงิน (Macro Prudential Measures) เพื่อดูแลเสถียรภาพของสถาบันการเงินและของเศรษฐกิจโดยรวมเพื่อไม่ให้มี การลงทุนที่เก็งกำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนจนเกินความพอดีจนเกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจ

4. พิจารณาใช้มาตรการจำกัดเงินทุนไหลเข้าอย่างระมัดระวังเมื่อมีความจำเป็น โดยมีการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนการดำเนินการ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด

5. บริหารจัดการเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์โดยเพิ่มประเภทสินทรัพย์ที่ ธปท. สามารถลงทุนได้

6. ช่วยเหลือภาคธุรกิจให้สามารถลดผลกระทบของความผันผวนของค่าเงินบาท โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยสนับสนุนการทำ Forward รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ในการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และการเพิ่มเครื่องมือสำหรับการค้าประกันสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า อนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถนำรายได้จากต่างประเทศฝากเข้าบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ ซึ่งเปิดไว้กับธนาคารพาณิชย์ ในประเทศได้เท่ากับรายได้จากต่างประเทศโดยไม่จำกัดระยะเวลา รวมทั้งขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการลดค่าธรรมเนียมในการฝากถอนบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศเป็นการชั่วคราว

7. สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน เช่น การใช้เวที ASEAN+3 ให้เกิดความร่วมมือดูแลอัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาคให้ไปในทิศทางเดียวกัน เป็นต้น

มาตรการด้านการคลัง

1. กำกับดูแลการเบิกจ่ายงบประมาณ ซึ่งปัจจุบันได้มีการกำหนดเป้าหมาย การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลในภาพรวมไม่น้อยกว่า 94.0% ของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2556 (2.4 ล้านล้านบาท) และเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลไม่น้อยกว่า 80% ของกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุน พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีงบลงทุนจำนวนมาก เช่น บมจ. ปตท. บมจ. การบินไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นต้น

2. ดำเนินการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในครึ่งหลังของปี 2556 ดังนี้ 1) การลงทุนในการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนไม่ต่ำกว่า 60,000 ล้านบาท (จากกรอบวงเงินลงทุนรวม 350,000 ล้านบาท) และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท (จากกรอบวงเงินลงทุนรวม 2 ล้านล้านบาท)

3. กำหนดให้รัฐวิสาหกิจชำระหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศเพื่อลดภาระหนี้ต่างประเทศ และช่วยให้มีเงินทุนไหลออก เพื่อทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความสมดุลมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันรัฐวิสาหกิจหลายแห่งได้เริ่มดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้ว เช่น บมจ. ท่าอากาศยานไทย และ บมจ. การบินไทย เป็นต้น

4. ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเริ่มจากการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเพื่อเป็นการลดภาระภาษี สร้างความสามารถ ในการแข่งขัน กระจายความเป็นธรรมและจูงใจให้ผู้มีเงินได้ที่อยู่นอกระบบเข้าสู่ระบบให้มากยิ่งขึ้น

5. สนับสนุนด้านสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เพื่อรักษา สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโดยให้การสนับสนุนสินเชื่อให้แก่ภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องภายใต้เป้าหมายที่ตั้งไว้ และให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและ SMEs ในการเพิ่มเครื่องมือในการค้าประกันการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการให้องค์ความรู้ทางการเงินและเป็น ที่ปรึกษาทางธุรกิจ

6. ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนไปลงทุนต่างประเทศในภาคธุรกิจที่เหมาะสม อันจะเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจจากการกระจายการลงทุน เพิ่มรายได้ให้กับภาคธุรกิจ และรายได้โดยรวม อีกทั้งยังจะเป็นการช่วยลด แรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าอีกทางหนึ่งด้วย

7) ส่งเสริมการออมและการประกันภัยของครัวเรือนให้ทั่วประเทศ ทั้งบุคลากรภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ และเยาวชน

มาตรการเฉพาะด้าน

1.มาตรการทางด้านเกษตร ได้แก่ รับจำนำพืชผลผลิตทางการเกษตร และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2555/2556 ให้ได้ 22 ล้านตันตามเป้าหมาย เร่งรัดโครงการบัตรเครดิตชาวนา และการประกันภัยพืชผลการผลิตให้กับเกษตรกร

2.มาตรการ SMEs โดยสนับสนุนขยายปริมาณสินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อให้กับ SMEs มากขึ้น การยกเว้นภาษีอัญมณีสำหรับงานแสดงสินค้าและเครื่องประดับ 3.มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเร่งรัดการประกาศใช้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนฉบับใหม่ระยะเวลา 5 ปี (2556 - 2560)

4.มาตรการด้านการท่องเที่ยว โดยเร่งรัดให้มีการออก Multiple Entry Visaการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนปรับปรุงโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยว รวมทั้งดูแลด้านความปลอดภัยและสาธารณสุขที่จำเป็นของนักท่องเที่ยว

5.มาตรการด้านการส่งออก โดยส่งเสริมการจัดทำ Roadshow ในตลาดใหม่และเก่า แก้ปัญหาสินค้าการส่งออก เช่น ปัญหากุ้งติดเชื้อ การส่งออกไก่ไปญี่ปุ่น การส่งออกสินค้าเกษตรเข้าอินโดนีเซีย เป็นต้น รวมทั้งการเพิ่มปริมาณการค้าชายแดน

6.ด้านพลังงาน โดยเร่งรัดมาตรการส่งเสริมการลงทุนพลังงานของครัวเรือนและชุมชน หรือโครงการ Solar Cell บนหลังคา รวมทั้งโครงการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียหรือมูลสัตว์ (Biomass) และการดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ตามมติ ครม.18 ธ.ค.2555

7.มาตรการด้านสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) เร่งรัดให้มีการประมูลคลื่นความถี่ สัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัล เพื่อเพิ่มคุณภาพและช่องทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน

8.มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินลงไปสู่ชุมชนในพื้นที่ต่างๆผ่าน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กองทุนสตรี กองทุนตั้งตัวได้ สินเชื่อธนาคารเพื่อประชาชน และส่งเสริมการใช้บัตรเครดิตพลังงานในกลุ่มผู้ขับขี่รถสาธารณะ

จากมาตรการทั้งหมด ถือว่าครอบคลุมในหลายด้าน โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสศช. บอกว่า "ขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ได้มีการจัดทำออกมาใหม่เนื่องจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้อนุมัติใช้กรอบการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจปี 2556 ไปแล้ว

"หากขับเคลื่อนมาตรการต่างๆตามแผนที่ได้วางไว้ เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้" โดย สศช.ประมาณการว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตได้ 4.2-5.2% โดยในไตรมาสแรก ขยายตัวได้ 5.3%

คำถามคือรัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้หรือไม่ ก่อนจะออกมาตรการเพิ่มเติมครั้งใหม่