'การ์เมนท์'เล็งย้ายฐานรอบ2 หนีค่าแรง300

'การ์เมนท์'เล็งย้ายฐานรอบ2 หนีค่าแรง300

ผู้ผลิตอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม แห่ย้ายฐานการผลิต เลี่ยงผลกระทบความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน อัตราค่าจ้างแรงงานพุ่ง สร้างฐานผลิตใหม่

ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนขึ้น-ลงรวดเร็ว จนผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม บริหารจัดการต้นทุนยาก ประกอบกับกำลังซื้อในประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐและยุโรปชะลอตัว ผสมกับค่าแรงที่เพิ่มขึ้น และสถานการณ์การเมืองในไทยที่ไม่นิ่ง ทำให้ขีดความสามารถของอุตสาหกรรมลดลง

ทางออกที่จำเป็นต้องเลือก คือ การย้ายฐานการผลิตระลอกสอง ไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม ตามผู้ประกอบกลุ่ม "ท็อปเทน" ที่ไปจับจองพื้นที่ได้สักระยะหนึ่งแล้ว เพื่อเตรียมพร้อมรับโอกาสตลาด หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี)

นายสุกิจ คงปิยาจารย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮงเส็งการทอ จำกัด นายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าขึ้นช่วงต้นปีแม้ปัจจุบันจะอ่อนค่าลง แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 2,500-2,800 ล้านดอลลาร์ ลดลงจากปีที่แล้ว 5%

นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจของประเทศผู้ค้ารายใหญ่อย่างสหรัฐและยุโรป ยังไม่ฟื้นตัวแม้จะเริ่มมีสัญญาณว่ากำลังซื้อเพิ่ม แต่เชื่อว่าจะเห็นผลบวกได้ปีหน้า

แบกต้นทุนเพิ่ม 6-8% ค่าแรง-ค่าบาท

นอกจากนี้ผู้ประกอบการ ยังต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนจากการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ตั้งแต่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา เมื่อรวมกับปัจจัยเครื่องความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น 6-8%

"ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ แม้จะมีการเตรียมตัวพร้อมมาระดับหนึ่งแล้วก็ตาม คิดว่า หากอยู่ที่ระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์ จะทำให้บริหารจัดการต้นทุนได้ง่ายกว่า โดยทุก 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น ผู้ส่งออกเครื่องนุ่งห่มจะได้รับผลกระทบประมาณ 200 ล้านบาท และอีกหนึ่งปัจจัยคือค่าแรง 300 บาท ทำให้ยากต่อการดำเนินธุรกิจมาก"

นายสุกิจ กล่าวว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้นทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ ท็อปเทน ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านทั้ง กัมพูชา ลาว พม่า และ เวียดนาม เพราะค่าแรงต่ำกว่าไทยมาก เช่น ลิเบอร์ตี้การ์เม้นท์ ผู้รับจ้างผลิตเสื้อผ้ากีฬา ซึ่งย้ายไปเวียดนามเป็นรายแรกๆ บริษัท ทองไทยการทอ จำกัด หรือ ทองไทย กรุ๊ป เข้าไปลงทุนในกัมพูชา, ไฮเทค กรุ๊ป เข้าไปลงทุนใน ลาว เวียดนาม กัมพูชา, ไนซ์ กรุ๊ป เข้าไปลงทุนในกัมพูชา

กลุ่ม ที.เค. กรุ๊ป ผู้รับจ้างผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ประเภทเสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับเด็ก บุรุษ สตรี มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 70 แบรนด์ ทั้งประเภทผลิตภัณฑ์ ที่ทำจาก ผ้ายืด ผ้าธรรมดา ผ้าชีฟอง ผ้ายีนส์ เช่น แบรนด์ F&M AIIZ PLAYBOY และ BODY GLOVE ย้ายการผลิตไปยังกัมพูชา ฮงเส็ง ได้ย้ายฐานการผลิตไปเวียดนาม นอกจากนี้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งได้ย้ายไปจีน โดยเน้นทำตลาดในประเทศเป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า ผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มไทยขนาดกลาง มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านตามรายใหญ่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าแรง 300 บาท และการกระตุ้นของรัฐบาลไทยที่ต้องการให้ผู้ประกอบการออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น นอกจากนี้การออกไปลงทุนในกลุ่ม ซีแอลเอ็มวี ยังได้สิทธิพิเศษทางภาษีเมื่อส่งออกไปยังยุโรปและสหรัฐ

"หลังจากเปิดเออีซี อุตสาหกรรมนี้จะต้องแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ต้นทุนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนหนึ่งจึงตัดสินใจย้ายไปเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษีส่งออกไปสหรัฐและยุโรป ขณะที่ลูกค้าสามารถที่จะสั่งสินค้าจากที่ไหนก็ได้ ที่มีต้นทุนต่ำกว่า เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมรับจ้างผลิต"

"ไฮโดรเทค" ลุยกัมพูชา-เล็งเข้าพม่า

นายชาญวิทย์ น้อยทรง ผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท คัฟเวอร์แนนท์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ไฮโดร-เทค และจีวรกันยุงสมุนไพรเมตตาคุณ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างทดลองเปิดฐานการผลิตใหม่ในกัมพูชา ซึ่งดำเนินการมาแล้ว 8 เดือน ก่อนตัดสินใจว่าจะลงทุนโรงงานแห่งนี้หรือไม่ เนื่องจากเป็นขั้นตอนของการฝึกแรงงานที่กัมพูชาให้มีมาตรฐานการตัดเย็บในระดับเดียวกับแรงงานไทย

"เรามาดูที่กัมพูชาสักระยะหนึ่งแล้ว และยังมีโรงงานที่เวียดนามอีกหนึ่งแห่ง เพราะค่าแรงใน 2 ประเทศนี้ยังถูกกว่าไทยถึง 50% และยังมองที่พม่า ในอนาคตเมื่อเปิดเออีซีแล้ว เราก็มองว่านี่อาจจะเป็นโอกาสให้เราเดินหน้าขยายธุรกิจในกลุ่มประเทศเหล่านี้ได้ด้วย โดยเฉพาะการทำชุดยูนิฟอร์มต่างๆ ให้กับทางบริษัทที่มีออเดอร์เข้ามา"

ผวาการเมืองหาเสียงเพิ่มค่าแรงอีก

นายชาญวิทย์ กล่าวว่า มีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการอีกหลายราย จะย้ายฐานการผลิตจากไทยไปกัมพูชาเพิ่มขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ในอุตสาหกรรมนี้เดินทางไปล่วงหน้าแล้ว ทำให้รายอื่นๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่มีความกังวลในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่ไม่อิงอยู่กับบรรทัดฐานเศรษฐกิจ เกรงว่าอาจจะมีการปรับขึ้นค่าแรงไปถึง 500 บาทต่อวัน ตามที่รัฐบาลเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้

"ส่วนใหญ่ก็กลัวเรื่องการเมือง เรื่องค่าแรงที่ไม่มีความแน่นอน ว่า ถึงคราวหาเสียงต่อไปรัฐบาลจะขึ้นไปที่ 500 บาทเลยหรือไม่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็มองเรื่องโอกาสจากเออีซีด้วย"

นายชาญวิทย์ กล่าวว่า ในส่วนของ คัฟเวอร์แนนท์ ไม่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกมากนัก เพราะได้ปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ เน้นการผลิตและจำหน่ายในประเทศมากขึ้น และไม่มีการรับจ้างผลิตให้กับแบรนด์อื่นๆ เหมือนเช่นที่เคยทำให้กับ U2 และ G2000 เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ยาก

ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตที่ 600,000 ชิ้นต่อปี ในปี 2557 มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้เป็น 700,000 ชิ้นต่อปี โดยในเวียดนามมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตให้ได้ 200,000 ชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ในระดับหมื่นชิ้นต่อปี และในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ 20% หรือประมาณ 260-280 ล้านบาท จากปีก่อน ที่มีรายได้ 230 ล้านบาท