“ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ”จากนักการเมืองสู่ดีเวลลอปเปอร์

“ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ”จากนักการเมืองสู่ดีเวลลอปเปอร์

"ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ"กลับมาคราวนี้ในมาดนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าตัวเอ่ยปากขอฝากเนื้อฝากตัวในฐานะมือใหม่ที่อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิต

หลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมานานเป็นเวลาถึง 5 ปี จากการเป็นกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย หนึ่งหนุ่มในกลุ่ม 3P ที่วงการนักการเมืองเรียกขาน "ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ" ประธานกรรมการ บริษัท กรุงไทย แลนด์ ดีวีลอปเม้นท์ จำกัด นักการเมืองจากเมืองดอกบัวงาม อุบลราชธานี ในวัย 60 ปี ก๊วนเดียวกันกับกลุ่มวังพญานาค ของ พินิจ จารุสมบัติ จากเมืองหนองคาย


ที่ขณะนี้เหลือเพียงสองหนุ่มในกลุ่ม 3P เพราะ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ได้สิ้นชีวิตลง ทั้งสองหนุ่มจึงเกี่ยวก้อยผันตัวเองมาทำงานในสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน (THAI-CHINESE CULTURE AND ECONOMY) โดย ปรีชา มีตำแหน่งเป็น อุปนายกสมาคม ขณะที่พินิจ นั่งเก้าอี้นายกสมาคม


ในงานแถลงข่าวเปิดตัวธุรกิจใหม่ของ "ปรีชา" เป็นเหมือนงานเปิดตัวเปิดใจของเขาอีกครั้งหลังจากห่างหายและทำตัวเงียบมาพักใหญ่ นักข่าวที่อยู่ในงานระดมยิงคำถามใส่ที่เขาทันทีที่ถึงช่วงจังหวะการถาม-ตอบบนเวที แน่นอนว่าคำถามแรกที่ยิงออกไป หนีไม่พ้นเรื่องที่เขาเข้ามาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตามความคาดหวังด้วยว่าเขาอาจจะเป็นเจ้าของที่ดินแปลงงามอีกหลายแปลงทั่วกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่ราคาที่ดินแพงระยับ

“ผมอาจจะเป็นมือใหม่ในฟิลด์นี้ และขอฝากตัวด้วย" ปรีชา เริ่มเล่า และบอกต่อไปอีกว่า


บังเอิญได้ทาง บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ชักชวนมาทำโครงการนี้ด้วยกัน โดยทางคอลลิเออร์สเสนอโครงการมา ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการพอดี ก็เลยตอบตกลงที่จะทำด้วยกัน ซึ่งที่ดินแปลงนี้ซื้อเก็บไว้นานแล้วเกือบ 30 ปี

“ตั้งใจจะพัฒนาที่ดินแปลงนี้ให้เป็นศูนย์รวมลูกหลานในตระกูลให้ได้มาอยู่ใกล้ๆ กัน อยากทำบ้านก็ทำให้มันดีสุดๆ ไปเลย ก็คิดจะกันพื้นที่บางส่วนเป็นห้องเพนเฮ้าส์ 7-8 ยูนิตไว้เป็นส่วนของครอบครัว ให้ลูกๆ หลานๆ มาอยู่ เป็นความสุขของคนแก่วัย 60 ปีอย่างผม ผมเองก็ไม่คิดจะรวยทางนี้ ชีวิตนี้ได้แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่คิดหวังอยากได้เยอะๆ มากๆ แต่บังเอิญที่ดินแปลงนี้มีศักยภาพ และก็มีพาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพโครงการนี้จึงเกิดขึ้นได้ ไม่เช่นนั้นผมไม่ทำแน่นอน" เขาเล่า ก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดี

ปรีชา ผู้มีบุคลิกเข้ากับคนง่าย ยิ้มแย้มแจ่มใส มาแต่ไหนแต่ไร บอกด้วยท่าทีเป็นกันเองว่า ตอนนี้เขาเป็น "คุณตา" แล้ว เพราะลูกสาวคนโต (อุราภา เลาหพงศ์ชนะ ) แต่งงานไปกับ วรวรรธน์ มาลีนนท์ บุตรชาย ประวิทย์ มาลีนนท์ บอสใหญ่ช่อง 3 เพิ่งจะมีหลานมาเชยชม

อดีตรัฐมนตรีช่วยหลายกระทรวง ยังบอกว่า ตอนนี้การเมืองไม่ยุ่งแล้ว “ปวดหัว” หันไปทำอะไรใหม่ๆ ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างอื่นดีกว่า อย่างงานที่รับผิดชอบอยู่ปัจจุบันเป็นงานที่ต้องติดต่อชักชวนนักลงทุนจากต่างประเทศอย่างจีนมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของโลกในเวลานี้ให้เข้ามาลงทุนในประเทศ สร้างมูลค่ามหาศาลให้กับระบบเศรษฐกิจไทย


ปรีชา ยืนยันว่าหลังจบโครงการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ "เดอะพอร์ทเทรท" แล้วก็ไม่คิดที่จะพัฒนาโครงการใหม่ๆเพิ่มเติมอีก แม้ที่ดินแปลงงามย่านพระราม4 ผืนนี้มีเนื้อที่เกือบ 12 ไร่ ต่เฉือนออกมาทำคอนโดมิเนียมหรู (กว่า 30 ชั้น 374 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 2,200 ล้านบาท) เพียง 3 ไร่เศษ เท่านั้น


“เดิมที่แปลงนี้เป็นของ บริษัทที่ทำรถแทรกเตอร์ แต่ตอนนี้ย้ายออกไปแล้วไม่มีแล้ว เรามีที่ดินเหลือ 7-8 ไร่นี่เก็บไว้ยังไม่คิดจะทำอะไรตอนนี้ อย่างที่บอกผมไม่ได้คิดจะเอารวยทางนี้ เพราะมีธุรกิจอื่นๆ อยู่แล้ว ลูกๆ หลานๆ ก็มีธุรกิจดูแลกันอยู่แล้ว แค่นี้ก็น่าพอแล้วนะ” เขาย้ำ

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของครอบครัว "เลาหพงศ์ชนะ" คือ บริษัท เจ้าพระยาประกันภัย จำกัด ส่วนธุรกิจรถแทรกเตอร์ชื่อ บริษัท กรุงไทยแทรกเตอร์ จำกัด ที่มีเครือญาติของปรีชา ชื่อ วิบูลย์ เลาหพงศ์ชนะ ดูแลอยู่และมีบริษัทในเครือข่าย 12 บริษัท ปัจจุบันได้ก็ยังดำเนินการอยู่

ปรีชา เล่าว่า คนอายุขนาดเขาถึงเวลาที่ควรจะหยุดอยู่กับลูกหลาน มีความสุขในบั้นปลายชีวิตแบบเรียบง่าย และคิดทำสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติบ้านเมืองดีกว่า เหมือนที่เขาเลือกลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาและตำแหน่งในคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อแผ่นดิน


“เหตุผลผมคือต้องการสร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ และความเรียบร้อยในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และเพื่อให้เป็นไปตามข้อหารือของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)” เขาบอกถึงจุดยืน และเหมือนจะปลงกับชีวิตทางการเมืองที่เคยผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว

ด้วยความที่เขาเป็นผู้ที่กว้างขวางในวงการเมือง ไม่มีใครไม่รู้จักชื่อ “ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ขุนพลจากดินแดนอีสานใต้ ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการเมืองมานานหลายทศวรรษ ทำให้ทุกวันนี้ ปรีชา ยังคงเดินทางไปประชุมพบปะกินข้าวกับเพื่อนฝูงในแวดวงธุรกิจและการเมืองอย่างสม่ำเสมอ แต่เขาเองก็ยืนยันว่า“การเมืองไม่เอาแล้ว”