อยากรวยหุ้น “อย่าโลภ”“ นิ้วโป้ง” อธิป กีรติพิชญ์

อยากรวยหุ้น “อย่าโลภ”“ นิ้วโป้ง” อธิป กีรติพิชญ์

“ดีเอ็นเอ” เลิฟการลงทุนของพ่อต่อสายส่งตรงถึงลูก “นิ้วโป้ง” อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนแนว Fundamental VI ไม่รอช้าควักเงินตั้งต้นหลักแสนล้งหุ้น

เลือดพ่อแรง!!

วิถีแห่งการลงทุนแบบ Fundamental VI ของ “นิ้วโป้ง” อธิป กีรติพิชญ์ เจ้าของพอร์ตหุ้นมูลค่าหลักสิบล้าน ในฐานะวิทยากรสอนคอร์สสัมมนา “ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน Value/Growth Investor” ประจำ Stock2Morrow ได้รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่วัยเยาว์จากผู้เป็นพ่อเชื้อสายจีนไหหลำที่โล้เรือสำเภาจากเมืองจีนมาเมืองไทย

“กิจการค้าไม้แถวบางโพธิ์” ถือเป็นอาชีพหลักที่พ่อใช้หาเงินเลี้ยงคนในครอบครัว ก่อนจะผลันตัวเองมาเป็น “นักสะสมที่ดิน” เชื่อหรือไม่?!! ที่ดินผืนแรกที่พ่อควักเงินสดๆซื้อมา ยังคงอยู่เป็นสมบัติประจำตระกูล เพียงแต่แปลงสภาพจากที่ดินเปล่าเป็น “อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า” หวังให้ลูกๆเก็บกินดอกผล ปัจจุบันครอบครัวได้ส่งไม้ต่อให้น้องสาวคนสุดท้อง จากพี่น้องทั้งหมด 3 คน รับหน้าที่ “กงสี” ดูแลธุรกิจค้าไม้และอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าต่อไป

เมื่อชีวิตต้องการ “อิสรภาพทางการเงิน” ทำให้เจ้าของแฟนเพจ “นิ้วโป้ง Fundamental VI” ใน Facebook ที่มีคนกดไลท์ 6,200 คน ภายในระยะเวลาเกือบ 3 เดือน ตัดสินใจเข้ามา “ลองผิด-ถูก” ในตลาดหุ้น แม้ครั้งหนึ่งผู้เป็นพ่อจะเคยห้ามปราม หลังเคย “ขาดทุนหนัก” จากหุ้น ธนาคารนครหลวงไทย หลังโดนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ถล่มยับ

“ตลาดหุ้นไม่ดี เมื่อเกิดวิกฤติ หุ้นจะมีมูลค่าเป็นศูนย์ทันที ไม่เหมือนที่ดิน มูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี” คำสอนของพ่อ "นิ้วโป้ง"

“พ่อนี่แหละไอดอลแห่งการลงทุน” อาจารย์โป้ง เปิดบทสนทนากับ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” พ่อไม่เคยกู้เงินมาลงทุน บ้านเราไม่เคยมีหนี้ ซื้อทุกอย่างด้วยเงินสด คนจีนสมัยก่อนเป็นเยี่ยงนี้ละ วิถีการลงทุนอย่างเป็น “ธรรมชาติ” ของพ่อ สอนให้บรรดาลูกๆซึมซับโดยไม่รู้ตัว ก่อนท่านจะเสียชีวิตเมื่อปีก่อนท่านเพิ่งซื้อโกดังแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง แถวรัตนาธิเบศ หวังให้เป็นสมบัติของครอบครัว (ยิ้ม)

“ขยัน อดทน ประหยัด” พ่อพูดกล่อมลูกทุกคน “นิ้วโป้ง” สถบ..

ก่อนซื้อที่ดิน ครอบครัวเราจะหาข้อมูลทุกอย่าง เรียกว่า “ครอบจักรวาล” ถ้าเปรียบการลงทุนที่ดินเป็นหุ้น ก็เหมือนเราเป็น “นักลงทุนแนว VI” อย่างแรกต้องนำโฉนดที่ดินมาเช็คหมายเลข สำรวจราคาขายที่ดิน จากนั้นเราจะยกครอบครัวไปขับรถวนดูที่ดิน “เช้า-บ่าย-ค่ำ” ขั้นตอนสุดท้าย คือ “ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ครอบครัวเรานับถือ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” บริเวณเสาชิงช้า ถ้าผล “เสี่ยงเซียมซี” ออกมาอย่างไร ก็ว่าไปตามนั้น (ความเชื่อส่วนบุคคล)

“นิ้วโป้ง” ย้อนประวัติฉบับย่อให้ฟังว่า หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็ไปต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นได้เริ่มต้นชีวิต “มุนษย์เงินเดือน” ตำแหน่งวิศวกรใน “ทีทีแอนด์ที” (TT&T) หน้าที่หลักลากสายโทรศัพท์อยู่แถวเชียงใหม่ และภาคกลาง

ทำอยู่ 4 ปี ก็ลาออกไปทำงานเป็นผู้จัดการโครงการใน Siemens ตอนโน้นอุตสาหกรรมสื่อสาร “พีคมาก” จากนั้นไม่นานก็ออกไปทำ “หัวเหว่ย” 5 ปี ตอนนี้นั่งทำงานในตำแหน่งวิศวกรรม ณ บริษัทสื่อสารรายใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่อยากเปิดเผยชื่อที่ทำงาน เพราะเวลาพูดถึงชื่อหุ้นตัวนี้ เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเชียร์ออกนอกหน้า (ยิ้ม) เมื่อปี 2543 เคยเปิดโรงเรียนกวดวิชาชื่อ “ติวเตอร์ไทยดอทคอม”

เริ่มรู้จักการลงทุนในตลาดหุ้นครั้งแรก เมื่อปี 2544 ก่อนเหตุการณ์ 911 เพียง 2 เดือน “หนังสือตีแตก” ของ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นี่แหละตัวจุดประกายความอยากเป็นนักลงทุนแนววีไอ (ยิ้ม) ย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่เคยมีใครพูดถึงตลาดหุ้นในแง่ที่ว่า “ซื้อหุ้นเหมือนการลงทุนในธุรกิจ” ทุกคนจะได้ยินเพียงว่า “ซื้อให้ว่อง ออกให้ไว หรือ ซื้อเช้า ขายเย็น เป็นค่ากับข้าว” (หัวเราะ)

อ่านจบปุ๊บ!! หอบเงิน 100,000 บาท ไปเปิดพอร์ตลงทุนกับบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เลือกจิ้มหุ้น เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) ในราคา 5 บาท เป็นตัวแรก ช่วงนั้นมั่นใจมาก (ลากเสียงยาว) เพราะวิเคราะห์ทุกอย่างมาดี “เรียกว่าตามหลักแนววีไอเป๊ะ!!” พื้นฐานดี ค่า P/E 7-8 เท่า และมูลค่าหุ้นทางบัญชีต่ำๆ

ถือได้ 2 เดือน ราคาหุ้น CPF เหลือแค่ 3 บาทกว่าๆ ทำให้พอร์ตการลงทุนช่วงแรกติดลบทันที 38% ทันที “พลาดท่า” เพราะเราไม่กระจายความเสี่ยงของพอร์ต ทุ่มเงินไปในหุ้นตัวเดียว แถมยังซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินสดเพียงไม้เดียว ทำให้ไม่มีโอกาสแก้ตัว

ที่สำคัญเรามัวแต่ดูกระจกหลัง โดยไม่มองไปข้างหน้า อธิบายง่ายๆ เราไม่พิจารณาสิ่งที่ควรระมัดระวัง ตอนนั้นหุ้น CPF เจอเหตุการณ์ 911 เล่นงานหนัก แถม “ซวยซ้ำหนัก” อีกรอบ จากเหตุการณ์ไข้หวัดนก โรคที่ยังไม่มีใครรู้จัก ผ่านมาไม่นานเจอกีดกันภาษีอีก โอ๊ย!! ข่าวร้าย 3 เด้ง

ฃบอกตรงๆตอนนั้นไม่เลียวดูหุ้น CPF เลย ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นหละ สงสัยจะติดนิสัยขายของยากเหมือนพ่อ (หัวเราะ) บนความโชคร้ายยังมีโชคดีซ่อนอยู่ “ผมได้เงินปันผลคืนกลับมาจากหุ้น CPF มากกว่าปีละ 1 ครั้ง เรียกว่าชนะดอกเบี้ยเงินฝาก แม้ราคาหุ้น CPF จะ “นอนหนาวบนยอดดอยแต่ก็ยังดีที่เขาให้ความอบอุ่นเราด้วยเงินปันผล”

ถือหุ้น CPF มา 4 ปี ตัดใจขายในราคา 7 บาท ตอนนั้นต้องนำเงินไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ทำให้ช่วงนั้นจำต้องเน้นลงทุนเล็กๆน้อย หนักไปทางซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพราะทำงานประจำไม่มีเวลาส่องตลาดหุ้น

ถามถึงกลยุทธ์สอยหุ้นเข้าพอร์ต? เขาตอบว่า เมื่อก่อนเคยปันใจอยากใช้กราฟเป็นตัวช่วย ศึกษาไปสักพัก รู้เลยไม่ใช่ตัวเรา เล่นกราฟต้องมี “จุดซื้อ-จุดขาย” ฉะนั้น “หุ้นพื้นฐาน” ดูจะเหมาะกับจริตของเรามากกว่า เมื่อก่อนดูแต่งบการเงินอย่างเดียว พักหลังอายุมากขึ้นผ่านอะไรมาเยอะแยะ จำต้องเปลี่ยนแนวมาวิเคราะห์หุ้นเชิงคุณภาพมากขึ้น

ลงทุนหุ้น อย่าโลภ ท่องไว้ให้ขึ้นใจ !!

ก่อนช้อนหุ้นสักตัวจะพิจารณา 5 ปัจจัยหลัก คือ 1.วิเคราะห์ธุรกิจ เน้นดูความขั้นเทพของธุรกิจ เช่น พูดชื่อมาแล้วผู้บริโภครู้จัก 2.วิเคราะห์อุตสาหกรรม ดูเรื่องการแข่งขันเป็นหลัก 3.วิเคราะห์กิจการเชิงคุณภาพ ด้วยการส่องเรื่องราวในอดีต เขาเติบโตด้วยอะไร 4.วิเคราะห์กิจการเชิงปริมาณ ด้วยการสำรวจงบการเงิน งบดุล กำไรขาดทุน ข้อสุดท้าย ดูความสามารถของผู้บริหาร เขาต้องอธิบายความเป็นตัวตนของบริษัทได้อย่างดี

ก่อนซื้อต้องหมั่นถามตัวเองว่า “โลภหรือเปล่า” ที่ผ่านมาใช้เวลาดูหุ้นก่อนตัดสินใจช้อนค่อนข้างนาน เพราะสัดส่วนการลงทุนอยู่ในรูปของหุ้นมากถึง 80% ที่เหลือเป็นเงินสด 20%

เขา เล่าต่อว่า ส่วนตัวจะแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 พอร์ต คือ พอร์ตออมหุ้น โดยจะซื้อหุ้นเข้าพอร์ต 10-20% ทุกๆวันที่ 20 ของทุกเดือน ตอนนี้มีหุ้นอยู่ 7-8 ตัว แบ่งเป็นกลุ่มสื่อสาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มอาหาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มประกันชีวิต

“ผมจัดพอร์ตลงทุนเหมือนจัดทีมฟุตบอล ในทีมต้องมีคนเก่งหลากหลายแนว”

จริงๆไม่เคยคาดหวังผลตอบแทนมากมาย ขอแค่พอร์ตออมหุ้นเติบโตปีละ 15% ก็ “หรูหรา” แล้ว ตั้งใจจะซื้อหุ้นเติมเรื่อยๆ จนถึงอายุ 60 ปี ที่ผ่านมามักรีวิวพอร์ตออมหุ้นปีละ 2 ครั้ง ผมหวังว่าเงินลงทุนปีที่ 1 จะเติบโตเป็น 16 เท่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นจะเกิดเป็นเครื่องจักรผลิตเงินสด นี่คือความ “มหัศจรรย์” ของกำไรทบต้น

อีกพอร์ตเป็น “พอร์ตเงินก้อน” เราต้องหาจังหวะเหมาะสมเข้าลงทุน ยกตัวอย่าง เช่นหุ้น พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) เพิ่งเข้าไปซื้อช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมปลายปี 2554 เล็งหุ้นตัวนี้มานาน แต่ไม่มีจังหวะ เมื่อสบโอกาสจึงนำเงินที่กั้นไว้ส่วนหนึ่งมาลงทุน ทุกวันนี้ยังไม่ได้ขายหุ้น PS เลย เชื่อป่ะ!!

“ผมเล่นหุ้นตามกระแสเงินสดที่มี ทำให้สามารถโกยผลตอบแทนจากราคาหุ้นและเงินปันผลแล้ว 50% จากนี้ไปขอแค่พอร์ตเติบโตปีละ 15% ทบต้นก็พอแล้ว แม้จะประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ครั้งหนึ่งก็เคย “เจ็บหนัก” เพราะหุ้น บ้านปู (BANPU)”

“นิ้วโป้ง” ปิดท้ายบทสนทนาด้วยการพูดถึง “หุ้นสื่อสาร” ว่า ปลื้มหุ้นกลุ่มนี้มากๆ ด้วยความที่คลุกคลีในแวดวงสื่อสารมานานกว่า 10 ปี ทำให้รู้จักทุกซอกทุกมุม ครั้งแรกที่รู้จักหุ้น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ราคาซื้อขายที่ 38 บาท วันนี้ทะยาน 270-280 บาทแล้ว

หุ้นลักษณะนี้ หลายคนเรียกว่า “Growth Stock” (หุ้นเติบโต) “ผมเพิ่งขายหุ้น ADVANC ไปเมื่อปี 2549 ตอนนั้นต้องใช้เงินซื้อเรือนหอ” ใครซื้อหุ้น ADVANC รับรองไม่มี “ขาดทุน” เพราะเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ แถมผลประกอบการยังติบโตดีสม่ำเสมอ

หากคุณลงมือสำรวจหุ้นสักหนึ่งตัว แล้วพบว่าหุ้นตัวนั้นมีมูลค่าแท้จริงสูง ประกอบกับเวลาเหมาะสม ขอจงอย่ารีรอ....

"นิ้วโป้ง" พูดถึงหนังสือ “ติวหุ้น รวยด้วยวีไอ” ว่า “ผมภูมิใจนำเสนอพ็อกเก็ตบุ๊คที่พิมพ์กับสำนักพิมพ์สต็อคทูมอร์โรว์เล่มนี้มาก ในหนังสือจะบอกเล่าเรื่องหุ้นเชิงปัจจัยพื้นฐาน “รับรองอ่านสนุก เข้าใจง่ายที่สุด นำไปใช้งานได้จริง”

หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นได้ต้องขอบคุณ “ป้อม” ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา” ประธานกรรมการบริหาร Stock2Morrow ใครอ่านรับรองคุ้ม เพราะจะถ่ายทอดประสบการลงทุนแนวเน้นคุณค่าตลอด 12 ปี “ผมเชื่อว่านักลงทุนวีไอที่รวยมากๆอาจมีจุดเริ่มต้นคล้ายๆกัน” ตลาดหุ้นเป็นเรื่องของการซื้ออนาคต เมื่อเห็นว่าวันข้างหน้าจะมีแต่เรื่องดีๆทุกคนย่อมตีค่าตีราคาหุ้นตัวนั้นสูง ลองอ่านดูเถอะ ไม่อยากเล่าเยอะ

ครั้งหนึ่งเคยเล่า “ความฝัน” ให้คุณป้อมฟังว่า อยากเห็น Stock2Morrow เป็นศูนย์กลางของการลงทุน สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นใครในตลาดหุ้นทำ คือ หาคนที่มีความรู้จริงๆ ในอุตสาหกรรมนั้นๆมาบอกเล่าเรื่องราวที่เคยพบเจอให้นักลงทุนรายย่อยฟัง อีกไม่กี่เดือนเราจะจัดงานสัมมนารับรองงานนี้จะมีแต่กูรูเก่งๆมาเล่าโน่นนี่ให้ฟัง