ไอซ์ แอลอีดี ธุรกิจจากความผิดพลาด

กว่าจะขึ้นแท่นผู้ประกอบการพันธุ์แกร่งล้วนต้องผ่านบททดสอบมาอย่างหนักเช่นเดียวกับ ไอซ์ แอลอีดีธุรกิจที่ใช้ความผิดพลาดเป็นบันไดไต่ความสำเร็จ
“อะไรที่ยาก คนอื่นไม่ทำ ยิ่งเสี่ยง ก็ยิ่งท้าทาย ยิ่งอยากลองทำดู” นี่คือ มุมคิด ของนักธุรกิจวัย 43 ปี “พิเชษฐ เกลี้ยงมะ” ประธานบริษัท ไอซ์ แอลอีดี จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย จอ LED สัญชาติไทยแท้ ที่มีผลต่อการตัดสินใจในเกมธุรกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เขาไม่ใช่นักธุรกิจประเภท “ถูกเสมอ” แต่ไม่เกรงกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับ “ความผิด” การต่อสู้ด้วยลำแข้งที่ผ่านมาในอดีต ยังปลูกฝังเลือดนักสู้ ให้พร้อมเผชิญกับทุกความเสี่ยง
“ผมเติบโตมาจากครอบครัวยากจน จนมาก ถึงขนาดต้องขอข้าวเขากิน เรียนโรงเรียนวัด จนจบป.6 แล้วต้องหยุดเรียนไป 3-4 ปี เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่ง แต่ผมพยายามหาทางเรียน กศน. จนจบม.ปลาย พร้อมๆ กับหางานทำ ทั้งทำสวน รับจ้างเชื่อมเหล็ก จนตอนหลังก็มาทำสแตนเลส”
จากลูกจ้างก็ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ จนออกมารับเหมางานเอง เริ่มจากออเดอร์เล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น สุดท้ายก็เปิด บริษัท “ไอซ์ สแตนเลส” ร้านขายอุปกรณ์ สแตนเลส เจ้าแรกใน จ.นครปฐม ได้ในวัย 27
“ทุกวันนี้ เราก็ยังเป็นเจ้าเดียวอยู่ อาจเพราะเป็นของแพง และ คนใช้น้อย เลยไม่มีใครทำ แต่ผมคิดว่า อย่างผักผลไม้ ถ้าฝนฟ้าตกไม่ตรงฤดูกาลเราก็เสียหาย เพราะต้องอาศัยธรรมชาติ แต่สแตนเลส ไม่เสีย ไม่เป็นสนิม เก็บไว้ได้นาน” เขาคิดสั้นๆ
สิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ แม้ต้องลงทุนสูง ดูจะเป็น “ทาง” ของพวกเขาไปแล้ว เช่นเดียวกับการมาถึงของธุรกิจที่สอง “ไอซ์ คัลเลอร์พริ้นท์” ธุรกิจผลิตสื่อโฆษณา ที่เริ่มจากแค่อยากหางานพิมพ์ที่ “ได้ดั่งใจ” มาใช้ประชาสัมพันธ์ธุรกิจสแตนเลสของตัวเอง ทว่าเมื่อหาที่ไหนไม่ได้ ก็ทำมันเสียเอง
“เราสั่งเครื่องพิมพ์อิงเจทเข้ามา ราคากว่าล้านบาท เป็นร้านแรกในนครปฐมอีกเช่นกัน ตอนนั้นคิดแค่ว่าเครื่องหนึ่งเครื่องแทนคนเขียนป้ายได้เป็น 10 เท่า และเครื่องหนึ่งตัว ก็อยู่กับเราได้นาน เลยกู้เงินมา ตอนหลังกิจการเติบโต จนเกือบจะวิ่ง กลางปี 2547 ผมขยายสาขาเดือนละ 1 สาขา ขยายไปได้ 6 สาขา มีเครื่องพิมพ์อิงเจท 16 เครื่อง แทบจะใหญ่ที่สุดในไทย”
จุดพลิกของธุรกิจ มาเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาตัดสินใจยุติงานพิมพ์ลงบนแผ่นป้ายไวนิล ซึ่งต้องนำเข้าต่อเดือนมากถึง 16 ตัน แน่นอนว่าหลังปลดระวางจากงานโฆษณา พวกมันก็คือ “ขยะ” เท่านั้น เลยมาดูสื่อโฆษณาชนิดใหม่ ที่เรียกว่าจอ LED ที่เปลี่ยนข้อความได้ ใช้ได้นาน ไม่ก่อขยะ ไม่สร้างมลพิษ รองรับงานโฆษณา งานอีเวนท์ และงานแสดงสินค้าทั่วไปได้
“ประมาณปี 2551 เราเริ่มนำเข้าจอ LED มาจากประเทศจีน เพราะบ้านเรายังไม่ค่อยมีคนใช้มากนัก ส่วนหนึ่งเพราะแพง และหายากในไทย เลยมองว่า ...อะไรที่ยาก คนอื่นไม่ทำ เราอยากเสี่ยง”
แต่ดูการเสี่ยงครั้งนี้ จะไม่ได้หมูเหมือนทุกครั้ง เมื่อสินค้านำเข้าจากจีน เล่นงานพวกเขาเสียเจ็บแสบ จอคุณภาพต่ำ ใช้ได้ไม่นานก็ “เจ๊ง”
“ตอนนั้นสั่งจอไปกว่าล้านบาท ลูกค้าเช่าไปใช้ในงาน ซึ่งวันซ้อมใช้ได้ดี แต่พอวันงาน จอกลับมีปัญหา ซ่อมอย่างไรก็ซ่อมไม่ได้ ติดต่อไปที่จีนเขาก็ปฏิเสธความรับผิดชอบ เราเสียหายหนักมาก เพราะมีลูกค้ารายต่อไปมาดูงาน ปรากฏทุกคนยกเลิกสัญญาหมด ซึ่งรวมถึงรายที่ให้บริการอยู่ด้วย เพราะเขามีโครงการต่ออีก 3 งาน ตอนนั้นไม่ได้ตังค์แถมยังโดยปรับไปเป็นแสน แต่ที่เสียหายกว่านั้น ก็คือ ชื่อเสียง และเครดิตของเรา”
มูลค่าความเสียหายหลายล้านบาท คือผลพวงที่ตามมา เมื่อสินค้านำเข้า กลายเป็นเจ้าตัวปัญหา ต้องวางกองเป็นที่ระลึกแห่งความผิดพลาดเต็มบริษัท แต่นั่นคือแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้เขาอยากพลิกบทบาทมาทำธุรกิจนี้ด้วยตัวเอง
“ผมเข้าใจแล้วว่า ตลาดนี้ถ้าเราไม่รู้ซึ้ง ไม่เข้าใจ แก้ปัญหาเองไม่ได้ เราก็ทำต่อไม่ได้ จึงเริ่มค้นคว้า หารายละเอียดเกี่ยวกับจอ LED หาตัวซอฟท์แวร์ ตอนนั้นผู้รู้ในเมืองไทยยังไม่มี ก็ต้องงมทางไปเรื่อยๆ จนเริ่มจับทางได้”
การเปิดโรงงานผลิตในไทย ก็เพื่อสามารถควบคุมคุณภาพในการผลิตได้ รักษามาตรฐานตามความต้องการของลูกค้า และคุณภาพที่ได้ดั่งใจคนทำอย่างพวกเขา อย่างใช้งานได้นานเป็น 10 ปี ผลิตจอที่ประหยัดพลังงาน ลดการใช้กระแสไฟฟ้า สู้แสงแดดได้ดี ให้แสงสว่างมากขึ้น คุ้มค่าเงินในกระเป๋าและยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้ด้วย บวกกับบริการที่ดี พร้อมแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้ ไม่ต้องมาซ้ำรอยเดิมที่พวกเขาเคยเจอมาแล้วในอดีต
โดยสินค้ามีทั้งแบบขายขาดและให้เช่า ราคาตั้งแต่ หลักหมื่นบาท ไปจนสูงสุดคือ 30 ล้านบาท เขาแย้มว่าทุกวันนี้สามารถทำจอขนาดใหญ่ สูง 20 เมตร ยาว 30 เมตร รวมประมาณ 600 ตรม.ได้แล้ว ซึ่งราคา ก็เฉียด 100 ล้านบาท! เลยทีเดียว
ได้บทเรียนมาบ่อยครั้ง กับความกล้าได้กล้าเสียของตัวเอง แต่ถึงวันนี้เจ้าตัวก็ยอมรับว่า ยังมีที่ตัดสินใจผิดพลาด ล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ก็สูญเงินไปเกือบ 2 ล้านบาท กับการนำเข้าเทคโนโลยีใหม่เอี่ยม เพราะหวังจะเป็นเจ้าแรกในไทย ปรากฏว่า พลาดอีกจนได้ เพราะใช้งานไม่ถึงปี เครื่องเสีย ซ่อมไม่ได้..มีบทเรียน แต่แล้วทำไมถึงยังกล้าตัดสินใจแบบนี้ ?
“ผมคุยกับเพื่อนที่กินเหล้า เขาบอกว่า เมาแล้วเข็ด ก็ไม่เก่งสิ ผมไม่กินเหล้านะ แต่รู้สึกกับคำของเขา นั่นคือ เข็ดก็ไม่เก่ง ทำธุรกิจมันเสี่ยง แต่มีความเสี่ยงอยู่บนความสำเร็จ และถ้าเราสู้ เราก็จะสำเร็จ” เขาเชื่ออย่างนั้น
เหมือนกับที่โต้เถียงใครหลายๆ คน ที่บอกว่า ทำธุรกิจเหมือนเล่นการพนัน ที่มีได้ และ มีเสีย แต่เขาเถียงสุดใจว่า ธุรกิจไม่ใช่การพนัน แต่เหมือนเกมกีฬา ที่มีแพ้ มีชนะ และแม้ไม่ได้เข้าที่หนึ่ง จะเป็นที่ 2-3-4 แต่ก็ได้เข้าเส้นชัยเหมือนกัน
“วันนี้เราวิ่งแพ้ เราก็ยังสามารถกลับไปซ้อมต่อ ถ้ายังไม่เลิก ถึงแพ้ ก็ยังได้เข้าที่สอง ที่สาม และแม้จะได้ที่เท่าไร แต่อย่างน้อยก็ได้ลงสนาม ได้อยู่ในเกม ได้เป็นตัวแสดง เราเพิ่งทำธุรกิจมาไม่กี่ปี ได้มาถึงขนาดนี้ ถือว่าทำแต้มได้ดีแล้ว ขณะที่หลายๆ คนซึ่งทำมานาน แต่ก็ยังไม่เข้าเส้นชัย หรืออาจเข้าทีหลังเราด้วยซ้ำไป ก็แค่พยายามวิ่ง พยายามซ้อมและทำให้ดีที่สุด”
ในวันนี้เกมธุรกิจยังเดินหน้า และพัฒนาไม่หยุดนิ่ง กับยอดขายที่ประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี พร้อมๆ กับการเปิดตัวเองให้เป็นที่รู้จักของตลาดมากขึ้น เช่นเดียวกับการออกงาน LED Expo Thailand 2013 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดตัวจอ Digital High Definition ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของจอ LED มาสร้างความตระการตาให้ตลาด พร้อมประกาศหาพันธมิตร
“ทุกวันนี้ที่ไทยยังทำไม่ได้ คือ ความร่วมมือ เรายังอยู่แบบตัวใครตัวมัน ทั้งที่คู่แข่งอีกไม่นานก็จะเป็นต่างชาติ ไม่ใช่พวกเรากันเอง ฉะนั้นผมถึงมองหาพันธมิตร มาโตไปด้วยกัน มองว่าก็เหมือนกับการวิ่งผลัดนั่นแหล่ะ จะวิ่ง 4 คูณ 100 เมตร หรือจะวิ่งคนเดียว 400 เมตร ถ้าแบบ 4 คูณ 100 เราก็วิ่งกันแค่คนละ 100 เมตร วิ่ง 4 คน ไม่เหนื่อยเท่าไร เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าเส้นชัยเหมือนกันหมด ได้เหรียญเหมือนกันหมด ไม่ต้องเหนื่อยกับการวิ่ง 400 เมตรคนเดียว แล้วทำไมถึงไม่เลือกวิธีนี้”
เส้นทางที่เท่ากัน เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน โดยไม่ต้องมี “ผู้แพ้-ผู้ชนะ” แต่สำเร็จไปด้วยกัน นี่คือหมากธุรกิจในมุมคิดของพวกเขา...ไอซ์ แอลอีดี
............................
Key to success
เติบใหญ่แบบ ไอซ์ แอลอีดี
๐ เรียนรู้ธุรกิจจากความผิดพลาด
๐ ยิ่งยาก ไม่มีคนทำ ยิ่งน่าลงทุน
๐ ทำธุรกิจอย่าเข็ด เพราะเข็ดก็ไม่มีวันเก่ง
๐ ธุรกิจคือ เกมกีฬา มีแพ้-ชนะ แต่เข้าเส้นชัยทุกคน
๐ ทำธุรกิจต้องมีเพื่อน เหนื่อยน้อย สำเร็จเท่ากัน







