4 โจทย์ใหญ่ ‘CHULA ENGINEERING’

4 โจทย์ใหญ่ ‘CHULA ENGINEERING’

ครบรอบ 1 ศตวรรษ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 1 มิถุนายน 2556 นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของชาวอินทาเนียทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ในในฐานะศิษย์เก่าเข้าเรียนในปี 2513 และบทบาทคณบดีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปัจจุบัน รศ. ดร.บุญสม เลิศหิรัญวงศ์ บอกเป็นทั้งความและความภาคภูมิใจ
“คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ เป็น คณะวิศวฯ แห่งแรกในประเทศที่มีอายุครบ 100 ปี เราพูดได้เลยว่า 100 ปี วิศวฯ จุฬา 100 ปี วิศวกรรมศาสตร์ไทย”
เหตุที่เป็นเช่นนั้น รศ.ดร.บุญสม บอก เพราะความที่คณะวิศวฯจุฬาฯ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน การผลิตบัณฑิตเป็นที่ยอมรับ มีศิษย์เก่าจำนวนไม่น้อยที่มีบทบาทสำคัญๆ ในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ และเศรษฐกิจระดับประเทศ
การเป็นสถาบันที่มีบทบาททางวิชาการมาอย่างยาวนานของคณะวิศวฯ จุฬาฯ ในมุมของความความสำเร็จก็เป็นสิ่งที่ชื่นชม มีทั้งการจัดงานครบรอบ และการระดมทุนเพื่อสร้างอาคารเรียนแห่งใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน วาระครบรอบ 100 ปี ครั้งนี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ วิศวฯจุฬาฯ ใช้เพื่อการทบทวน “บทบาท” และ “ทิศทาง” ต่อไปในอนาคต
“องค์กรครบ 100 ปี ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลง เราทบทวนตัวเองว่า อดีตถึงปัจจุบัน เรามีอะไรบ้าง และ ในอีก 10 ปีข้างหน้าต้องทำอะไรบ้าง”
ที่ผ่านมา รศ.ดร.บุญสม ใช้เวลาในการทบทวนตัวเอง โดยมองให้ครบทุกมิติ สิ่งที่เป็นความเข็มแข็งในอดีต วันนี้จะต้องรักษา และต่อยอด
ส่วนอนาคต เป็นการเปิดรับมุมมองจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะสถานประกอบการที่เป็นผู้ใช้บัณฑิตได้ร่วมกันมองถึงทิศทางในการพัฒนา “คน” ต่อไปในอนาคต
ซึ่งก็เป็นที่มาของการ Re-branding ครั้งสำคัญของคณะ ทั้งโลโก้ จากเดิมเป็นเกียร์-พระเกี้ยว ได้ปรับให้เป็น CHULA ENGINEERING เพื่อตอบโจทย์ความเป็นสากลมากขึ้น
CHULA ENGINEERING ในคำนี้มีความหมายสื่อถึงความทันสมัยและความเป็นสากลมากขึ้น ในส่วนที่อยู่ระหว่างตัว E และ N (คำว่า Engineering) เป็นเครื่องหมาย “Forward” สีขาว สะท้อนถึงการพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ด้านล่างจะเป็นคำว่า Foundation toward Innovation เป็นหนึ่งในทิศทางสำหรับการทำงานของคณะวิศวฯจุฬาฯ นับจากนี้ต่อเนื่องไปอีก 10 ปีข้างหน้า นั่นคือ “Innovation”ซึ่งเป็น 4 โจทย์ใหญ่ที่จะเดิน
Innovative Education : การปรับหลักสูตรการเรียนการสอนให้เป็น Outcome Based สร้างการยอมรับในตัวหลักสูตร และปรับหลักสูตรเข้าสู่มาตรฐานสากล
“ได้เริ่มปรับหลักสูตรไปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อาทิ I-scale รูปแบบห้องเรียนแบบสันทนาการ มี Work space สำหรับให้นิสิตมานั่งถกปัญหาและเรียนรู้ร่วมกัน ต้องมีอาจารย์สอนมากกว่า 1 คนคอยให้ความรู้ เป็นต้น ทำให้บัณฑิตที่จบในปี 2557 เป็นผลิตผลรุ่นแรกจากการปรับหลักสูตรครั้งนี้”
Innovative Research : การสร้างผลงานวิจัยในเชิงบูรณาการศาสตร์มากขึ้นเพื่อให้สังคมไทยได้ประโยชน์ในการนำไปใช้งานและต่อยอด
วันนี้ วิศวฯจุฬาฯ เริ่มผลิตงานวิจัยเชิงบูรณาการแล้ว อาทิ เป็นการร่วมกันทำงานวิจัยระหว่างวิศวกรรมศาสตร์กับแพทย์ศาสตร์ เภสัชศาสตร์ เป็นต้น
รศ. ดร.บุญสม ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผลิตงานวิจัยที่เน้นผสานกันระหว่างศาสตร์ เช่นการผลิตรถยนต์ในอดีต ใช้วิศวกร 1 คนก็ได้แล้ว แต่วันนี้เมื่อเทคโนโลยียานยนต์เป็นไฮบริดและอื่นๆ ที่จะตามมา จะต้องมีวิศวกรอย่างน้อย 3 สาขาในการผลิตรถยนต์หนึ่งคัน
Innovative Engineering : บัณฑิตจากวิศวฯจุฬา ยุคใหม่ต้องมีบทบาทที่กว้างกว่าในประเทศ โดยเน้นให้ออกไปทำงานและมีบทบาทในทั่วทุกภูมิภาคของโลก
ซึ่งการจะพัฒนานิสิตให้พร้อมสำหรับการทำงานในรูปแบบนั้น คณบดี บอก ในเชิงคุณภาพแล้วเรามั่นใจด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่เข้มข้น แต่ในด้านของการสื่อสารและใช้ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน
Innovative Society : การผลิตบัณฑิตที่มีคุณธรรม และส่งต่อความสำเร็จไปสู่สังคม และประเทศ
ก้าวที่เปลี่ยนผ่านของคณะวิศวฯจุฬาฯ ในครั้งนี้ รศ.ดร.บุญสม บอกภารกิจทั้ง 4 ด้านที่ต้องทำนับจากนี้จะตอกย้ำในสิ่งที่เป็นความแข็งแกร่ง สร้างการยอมรับในระดับมาตรฐานสากลของวิศวฯจุฬาฯ จากนี้ และต่อเนื่องไปอย่างน้อยในอีก 10 ข้างหน้า
ด้วยหวังว่าสถาบันแห่งนี้จะเดินทางสู่หลักไมล์ที่ 150-200 ปีขึ้นไปในอนาคต