โรงรับจำนำระส่ำ ทองดิ่งลูกค้าไม่ยอมไถ่

ศูนย์วิจัยทองชี้ธุรกิจโรงรับจำนำเสียหายมากสุดหลังราคาทองดิ่ง เหตุลูกค้าไม่ยอมถ่ายคืน เพราะรับกำไรส่วนต่างไปแล้วมากกว่า 20%
นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ศูนย์วิจัยทองคำได้ประเมินผลกระทบราคาทองคำที่ปรับตัวลดลงรุนแรงในครั้งนี้ คือกลุ่มธุรกิจโรงรับจำนำ เนื่องจากปัจจุบันทองคำมีสัดส่วนประมาณ 80%ของสินทรัพย์ที่นำมาจำนำ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาราคาทองคำที่รับจำนำมีมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 หมื่นบาทต่อบาททองคำ แต่เมื่อราคาทองคำปรับลดลงมาอยู่ที่ ราคาประมาณ 1.88 หมื่นบาทต่อบาททองคำ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ประมาณ 2.3 พันบาทต่อบาททองคำ คิดเป็น 21% ดังนั้น ทำให้เชื่อว่าลูกค้าที่เอาทองคำมาจำนำ จะไม่ยอมมาถ่ายทองคืนเพราะได้รับกำไรส่วนต่างไปแล้ว
"ปัจจุบันราคาทองคำต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ ทำให้มองว่า โรงรับจำนำจะต้องแบกต้นทุนสูงในเวลาประมาณ 5 เดือน และเชื่อว่าหากราคาทองคำยังต่ำลูกค้าก็คงไม่ไปถ่ายคืน เพราะราคาที่รับจำนำสูงกว่าราคาทองปัจจุบัน และช่วงที่ผ่านมาการแข่งขันในธุรกิจโรงรับจำนำก็มีความรุนแรง ทำให้โรงรับจำนำบางแห่งมีการรับจำนำในอัตราที่สูงประมาณ 80-90%ของมูลค่าสินทรัพย์อีกด้วย"นายกมลธัญกล่าว
ภาพรวมของธุรกิจโรงรับจำนำน่าจะมีผลขาดทุนเกิดขึ้น ขณะที่มีบางส่วนที่เริ่มหันมาใช้ตลาดโกลด์ ฟิวเจอร์สในการบริหารความเสี่ยง แต่มีสัดส่วนที่น้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยราคาทองคำในปีนี้จะติดลบ 7-10% โดยการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้ได้ปรับลดกรอบราคาทองคำในปีนี้อยู่ที่ 1,250-1,500ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือคิดเป็นบาทละ 1.75-2.1หมื่นบาทต่อบาททองคำ ทำให้เบื้องต้นราคาทองคำจึงเปลี่ยนเป็นแนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน ภายหลังจากราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตลอด 12 ปี
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากตลาดทองคำยังไม่มีบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้นแนวโน้มขาลงจะอยู่ในช่วง 1-2 ปี และหากมีปัจจัยลบเข้ามาเพิ่มเติมก็อาจจะทำให้ราคาทองคำพักฐานต่อเนื่องไปเวลา 3-4 ปีก็มีโอกาสเป็นไปได้ ทำให้คาดว่าแนวรับในระยะสั้นของราคาทองคำในช่วงนี้อยู่ที่ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และระยะต่อไปก็มีโอกาสลงไปแตะที่ระดับ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำหลุดระดับแนวรับสำคัญที่ 1,250ดอลลาร์ ต่อออนซ์
นอกจากนี้ ตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2/56 เป็นต้นไป นักลงทุนสถาบันจะทยอยขายทองคำเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเพราะผลตอบแทนที่ได้รับต่ำกว่าการถือครองสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ พันธบัตร และดอกเบี้ยจากเงินฝาก และการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็จะมีผลต่อราคาทองคำภายในประเทศค่อนข้างสูง จึงอยากให้นักลงทุนรายย่อยระมัดระวังในการลงทุนทองคำในระยะนี้เพราะราคามีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ดังนั้นจึงไม่ใช่จังหวะที่เข้าลงทุนในตลาดทองคำ ซึ่งอยากฝากให้นักลงทุนรายย่อยในประเทศปรับเปลี่ยนทัศนคติในการลงทุน
จากปัจจุบันพบว่าพอราคาทองคำปรับลดลงก็เข้าซื้อทันที แต่ให้ปรับเปลี่ยนเป็นการลงทุนในลักษณะเก็งกำไรแบบระยะสั้น-กลาง หรือราคาปรับขึ้นก็ให้ขายทำกำไร และทยอยปรับลดพอร์ตการถือครองทองคำลงมาให้เหลือ 15%ของพอร์ตลงทุน




