วัดกำลัง คอนเทนต์โปรวายเดอร์ สู้ศึก Eyeball

วัดกำลัง คอนเทนต์โปรวายเดอร์ สู้ศึก Eyeball

ลูกตาคนดูเท่าเดิม แต่ช่องทีวีมีเป็นร้อยๆช่อง ยิ่งการเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัล สะท้อนแข่งขันจนจอแตกในอุตฯทีวี ไปวัดขุมกำลังของพวกเขา

5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมโทรทัศน์ของไทยพลิกโฉมไปมาก ยิ่ง 2-3ปีมานี้นับว่าคึกคักอย่างยิ่ง เมื่อผู้ประกอบการหลายรายแห่ลงทุนผุด"ช่องทีวี" ยังกับดอกเห็ด โดยเฉพาะค่ายหลัก อย่าง อาร์เอส, แกรมมี่, เวิร์คพอยท์ ,ซีทีเอช,ทรู วิชั่นส์ ฯลฯ ทำให้เกิดการขับเขี้ยวแย่งคอนเทนต์ ยิ่งเป็นคอนเทนต์ชั้นเยี่ยมจากต่างประเทศ ผู้ประกอบการไทยยิ่งต้องขนเงินจำนวนมากไปทุ่มซื้อมา เพื่อสร้างแพลตฟอร์มคุณภาพ

มีคอนเทนต์ที่เป็น The King ชิง eyeball (ลูกตา-ผู้ชม) สะท้อนเรตติ้งไปถึงขั้นสุดท้ายคือ โกยเม็ดเงินโฆษณามูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท เข้ากระเป๋า!!!

หลายรายพลิกบทจากผู้ผลิตคอนเทนต์ ที่เคยแย่งชิง “เช่าเวลา” จากสถานีโทรทัศน์ต่างๆ วันนี้สวมบทใหม่ในฐานะผู้บริหารเจ้าของ“ช่องรายการ” ของตัวเอง หรือไม่ก็เป็นคอนเทนต์โปรวายเดอร์ (ผู้จัดหาเนื้อหา)ให้กับขาใหญ่ (Big Player)

ช่องทีวีนับร้อย รายการโทรทัศน์นับพัน เรียกว่า ผู้บริโภคดูกันไม่หวาดไม่ไหว !!

หากพิจารณาทีวีที่ออกอากาศไม่ว่าจะเป็นเคเบิลทีวี ทีวีดาวเทียม มีไม่น้อยที่เข้าข่าย “ด้อย” คุณภาพ ไม่ประเทืองปัญญาผู้ชมเท่าที่ควร คอนเทนต์ที่มีศักยภาพดึงคนดูจึงถูกขาใหญ่กวาดเรียบ

เรียกว่าเป็นสัดส่วน 20 :80 และ 80:20 เป็นไปตามกฎของพาเรโต (pareto’s law) คือ ผู้ประกอบการ 100% เป็นรายใหญ่ 20%แต่กินส่วนแบ่งตลาดหรือ eyeball ไปซะ 80%

ดังนั้นธุรกิจทีวีค่ายไหนเหนือชั้นกว่า คงต้องวัดขุมกำลัง “เงินทุน” และ “คอนเทนต์” ของบิ๊กเนม ในทุกแพลตฟอร์มทั้งฟรีทูแอร์ และเพย์ทีวี

ทั้งผู้นำเรตติ้งทีวีดาวเทียมอย่างอาร์เอส-แกรมมี่-เวิร์คพอยท์ หรือจะเป็นยักษ์ใหญ่ในเพย์ทีวี อย่าง ซีทีเอช-ทรูวิชั่นส์

“พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการบริษัท อาร์เอส จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงศักยภาพและความพร้อมของอาร์เอสในการรุกธุรกิจทีวี เรียกได้ว่า ปึ้กทั้ง “ทุน”และ “ทีมงาน” ที่อาร์เอสเพียบพร้อมอย่างมาก งบ 200 ล้านบาท เป็นเม็ดเงินกลมๆสำหรับผลิตคอนเทนต์ “ละคร” Magnet หลักที่จะกระชากเรตติ้งให้ติดลมบน และการลงทุนดังกล่าวสะท้อนให้เห็น “หัวใจ” หลักของธุรกิจทีวีคือ “คอนเทนต์”

อาร์เอสยังจัดงบลงทุน 350 ล้านบาท เพื่อร่วมวงประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล ที่พร้อมจะยกช่อง 8ไปอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ชักธงรบรอบใหม่ในระนาบเดียวกัน และมีเป้าหมายเดียวกับทุกบริษัทคือหวังดึงเม็ดเงินโฆษณาที่จะไหลเข้ามาในอนาคต

ด้วยช่องทีวีมีมากมาย หลายค่ายต่างๆเฟ้นหาบุคลากรมาเสริมทีมผลิตคอนเทนต์ แต่อาร์เอสมั่นใจในความใหญ่ขององค์กร ไม่เน้น “ดึง” บุคลากร จากค่ายอื่น แต่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีปั้นคอนเทนต์ชั้นยอดออกสู่สายตาผู้ชม

“แน่นอนเมื่ออุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการขยายตัวมากขึ้น ย่อมต้องการบุคลากรเข้าไปทำงานเพิ่ม แต่อาร์เอสคงไม่ดึงตัวใครมาเสริมทัพ เพราะเราเชื่อในศักยภาพองค์กรที่จะมีคนเข้ามาทำงานด้วย”

ถามว่าวันนี้บุคคลการที่มีเพียงพอไหมในการปั๊ม “หัวใจ”ธุรกิจทีวี เธอย้ำว่า มีเพียงพอ หากนับเฉพาะสถานีทีวีดาวเทียมช่อง 8 ที่เรตติ้งพุ่งกระฉูด ทีมงานที่รับหน้าที่สร้างสรรค์ผลงานละละคร รายการต่างๆ มีกว่า 100 ชีวิต ส่วนช่องอื่นๆไม่ว่าจะเป็นไม่ว่าจะเป็นยู แชนแนล (You Channel) และสบายดี แชนแนล ใช้ทีมงานเดียวกันและมีมากว่า 50 ชีวิต เฉกเช่นกับช่องสตาร์แม็กซ์ และซัน แชนแนล ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม เพย์ แชนแนล ก็ใช้ทีมงานอีก 50 ชีวิตร่วมกัน ทีมงานมากน้อยย่อมแตกต่างไปตามคอนเทนต์

ขุมพลังเงินและทรัพยากรบุคคล ปึ้ก! พร้อมสู้สึกธุรกิจทีวีที่ทวีการแข่งขันรุนแรง รูปแบบของการรับชม “22 ล้านครัวเรือน” และเกือบ 70ล้านคน กำลังจะพัฒนาไปอีกสเต็ป

ฟาก “แกรมมี่” ผู้ประกาศตัวเองเป็นคอนเทนต์โปรวายเดอร์ยักษ์ใหญ่ที่หนาทั้ง “เงินทุน” และมากด้วยคอนเทนต์ “เดียว วรตั้งตระกูล” กรรมการผู้จัดการสายงาน Platform Strategy บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด เล่าว่า แกรมมี่มีทีมงานกว่า 1,000ชีวิต เพื่อผลิตคอนเทนต์ ตลอดจนทำหน้าที่โอเปอเรชั่นระบบส่งสัญญาณต่างๆให้กับช่องทีวีทุกแพลตฟอร์มรวมๆแล้ว 20 ช่อง

เรียกว่า มีทัพที่แข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าใคร ทว่าองค์กรก็ยังมีความต้องการบุคลากรหัวใส นักคิดนักสร้างสรรค์หรือ “Creativity Idea” คอนเทนต์ดีๆอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อคนหายากขึ้นก็ต้องทำให้เกิดการประหยัดจากขนาด มีคนเท่าไหร่ก็ใช้ให้คุ้ม

เขาบอกอีกว่า หากเป็นรายการที่มีสเกลใหญ่ก็จะมีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ยกตัวอย่างช่องหลัก GMM One และ Bang Channel ใช้ทีมงานช่องละ 50 คน ไม่นับรวมช่างแต่งหน้า ทำผม ช่างไฟต่างๆ ตลอดจนฝ่ายเทคนิคทำหน้าที่รับ-แปลงสัญญาณการรับชม (เพย์ทีวี) ก็ใช้ทีมงานไม่น้อยกว่า 20 คน แต่ที่แน่ๆ ในการผลิตรายการ 1 ช่อง ขุมพลังด้านบุคลากรขั้นต่ำต้องอยู่ที่ 30 คน เพื่อผลิตเนื้องานสำหรับออกอากาศ 8-12 ชั่วโมง

“ผู้เล่นรายใหญ่ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตคอนเทนต์เอง เพื่อป้อนให้กับช่องของตน หรือแม้กระทั่งการเช่าเวลาทางฟรีทีวี แต่เมื่ออุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น เกิดช่องทีวีบนแพลตฟอร์มต่างๆนับร้อยช่อง ย่อมทำให้การแข่งขันหาคอนเทนต์มาออกอากาศและป้อนผู้บริโภคมากขึ้น”

แต่เขาเชื่อว่า ขาใหญ่ยังคับคั่งไปด้วยทีมงานที่มีพรสวรรค์อยู่ หากแต่อุตสาหกรรมทีวีขยายตัวรวดเร็ว หนีไม่พ้นความต้องการบุคลากรด้านนี้จะต้องสูงตามไปด้วย เพราะต้องยอมรับว่าผู้ผลิตคอนเทนต์รายเดิมๆก็ล้วนทำอยู่ในฟรีทีวี และวันนี้กำลังไหลไปช่องทางอื่นมากขึ้นด้วย เพราะ “หัวใจ” สำคัญของอุตสาหกรรมทีวีคือ “คอนเทนต์” ที่เป็นตัวชูโรงให้กับช่องและแย่ง eyeball ที่มีจำนวนเท่าเดิม และนั่นย่อมส่งผลให้การแข่งขันทวีความดุเดือดมากขึ้น

“ทุกช่องต้องปล่อยหมัดเด็ดสร้าง Content is The King และมีเน็ตเวิร์ค เป็น The Queen หรือยกระดับให้เป็น The King ทั้งคู่ เพราะต้องยอมรับว่า เครือข่ายสัญญาณที่ดีผนวกกับคอนเทนต์ชั้นเยี่ยม จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการได้” เขาย้ำถึงกลยุทธ์มัดใจผู้ชม

พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคว่า แม้จะมีช่องทีวีอยู่นับร้อย แต่ไม่มีใครดูทั้งหมด!!

ตามมาตรฐานแล้วคนจะดูประมาณ 10 ช่องเท่านั้น และช่องหลักๆที่จะกดรีโมทก็มีเพียง 6 ช่อง เค้กก้อนโตจึงตกอยู่ที่บิ๊กเพลเยอร์ !! ไม่กี่ราย

ปรากฏการณ์อุตสาหกรรมโทรทัศน์ของไทยพลิกโฉมหน้าไปมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีการรับชมที่คนฮิตติด “สมาร์ททีวี” และอีกมุมหนึ่งคือการเข้าสู่ยุคทีวีดิจิทัล ที่แม้ยังมาไม่ถึง แต่ก็เห็นการตื่นตัวของคนไทย และยังเป็นเรื่องที่ท้าทายคนในแวดวงอุตสาหกรรมทีวีอย่างมาก

เขาย้ำอีกว่า เมื่อเกิดทีวีดิจิทัลเมื่อไหร่ คงได้เห็นการแข่งขันด้านคอนเทนต์กันอีกยาว เพราะนอกจากจะชิงฐานผู้ชมแล้ว ท้ายที่สุดก็เพื่อแบ่งเค้กโฆษณา 6 หมื่นล้านบาท

เงินทุนเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความ“ใหญ่” ของแกรมมี่ ในการรุกธุกริจทีวีเต็มสูบ ที่ก่อนหน้านี้ทายาทอากู๋ “ระฟ้า ดำรงชัยธรรม” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มงานคอนเทนต์ แมเนจเม้นท์ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แซท จำกัด ระบุว่า แกรมมี่พร้อมเทงบลงราว 2.7 พันล้านบาท ทั้งซื้อคอนเทนต์กว่า 80 รายการ เปิดช่องใหม่สำหรับแพลตฟอร์มเพย์ทีวี เสริมแกร่งกันเต็มสูบ แต่ที่เป็นการลงทุนใหญ่ ต้องยกให้การตั้งงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท ร่วมวงประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัล

ช่วงที่ผ่านมา ณ สำนักงานบริษัท เวิร์คพอยท์ เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด(มหาชน) ย่านปทุมธานี “เสี่ยตา” ปัญญา นิรันดร์กุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดบ้านพาสื่อมวลชนชมความพร้อมของบริษัทในการสู้ศึกธุรกิจทีวี ตลอดจนการประมูลทีวีดิจิทัล

งานนี้ เจ้าพ่อเกมโชว์อย่าง “เสี่ยตา” ควง 2 ผู้บริหารขนาบข้างทั้งมือการเงินคนใหม่ “สุรการ ศิริโมทย์” ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการการเงิน การลงทุน ที่เข้ามาเสียบแทน "ครรชิต ควะชาติ" ซึ่งถูกดูดไปแกรมมี่ และ “ชลากรณ์ ปัญญาโฉม” ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานโทรทัศน์ 2 และโครงการพิเศษ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวถึงทิศทางธุรกิจทีวี

“เราพร้อมที่จะเข้าประมูลดิจิทัลทีวี แล้วแม้ว่าขณะนี้ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จะยังไม่ได้ข้อสรุป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทได้ศึกษาเรื่องนี้รวมทั้งทีวีดาวเทียมมาโดยตลอด” เสี่ยตา เผยเกมรุกธุรกิจทีวี ซึ่งบริษัทมีความถนัดในการผลิตคอนเทนต์ รั้งผู้นำทีวีวาไรตี้อันดับหนึ่งในทีวีดาวเทียม

ขุมพลังทางการเงินแรก คือการควักงบราว 100 ล้านบาท ขยายสตูดิโอใหม่จำนวนเท่าตัว หรือ 8 สตูดิโอ บนเนื้อที่ 3 ไร่ รวมของเดิมเป็น 16 สตูดิโอ เพื่อโชว์ศักยภาพบ้านหลังใหม่ในการโปรดักชั่น เต็มสูบ

“คน” ถือเป็นผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์และขับเคลื่อนธุรกิจ เขาจึงให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมหาทีมงานที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรมด้วย เพราะยอมรับขณะนี้ “ขาดแคลนคนอยู่มาก” และเกิดการ “แย่งตัว” กันเป็นธรรมดา เพราะหลักๆคนในอุตสาหกรรมนี้มาจาก 2 แหล่งสำคัญคือ ฟรีทีวี และเคเบิลทีวี

แม้จะกังวลภาวะขาดแคลนคน แต่เสี่ยตาเชื่อมั่นในตัวบุคลากรที่มีอยู่จะรับมือและทำงานให้ออกมามีคุณภาพเช่นผลงานที่ประจักษ์ในปัจจุบัน “จำนวนคนทำงานไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพ”เขาย้ำถึงศักยภาพของทีมงานที่มี

“เวิร์คพอยท์ไม่ได้ต้องการที่จะดึงคนเข้ามาจำนวนมากๆ โดยเฉพาะการดึงคนมาจากที่อื่นๆ เพราะไม่ใช่วัฒนธรรมของที่นี่ สำหรับพนักงานของบริษัทในปัจจุบันมีพนักงานอยู่ราวๆ 500 คน โดย 60% เป็นครีเอทีฟ และการทำงานที่นี่เน้นในเรื่องคุณภาพเป็นสำคัญ และไม่ได้หมายความว่าใครก็ได้จะเข้ามาทำงานตรงนี้ได้”

เวิร์คพอยท์ เป็นคอนเทนต์โปรวายเดอร์ที่แกร่งในการผลิตรายการโทรทัศน์ต่างๆ และส่วนใหญ่บริษัทผลิตเองมากกว่า “ซื้อ” จากต่างประเทศซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึง 5% ทำให้งบลงทุนคอนเทนต์แต่ละปีไม่สูงมากนัก ต่อปีควักกระเป๋าแค่ 100 กว่าล้านบาท เท่านั้น

นอกจากขุมกำลัง “คน” ที่หัวสร้างสรรค์ที่จะมาปลุกปั้นธุรกิจทีวีให้เติบใหญ่ งบก้อนโตอีก 1,000 ล้านบาท ที่เขาเตรียมไว้ประมูลทีวีดิจิทัล ซึ่งมือการเงินของบริษัทอย่างสุรการ เล่าว่า “ตอนนี้เวิร์คพอยท์เนื้อหอมมากๆ สถาบันการเงินต้องการคุยกับเรา ช่วงนี้ก็ประชุมกับธนาคารทุกวัน” เขาหัวเราะ โดยตุนกระแสเงินสดราวๆ 350-500 ล้านบาทต่อปี เรียกได้ว่าคุณภาพคนและเงิน “คับแก้ว”

หากจะพูดถึงแวดวงการ์ตูน รายการที่เรตติ้งอันดับต้นๆของเมืองไทย และหากพูดถึงขาใหญ่ด้านคอนเทนต์ต้องยกให้ บริษัท การ์ตูนมีเดีย จำกัด ซึ่งเป็นผู้บริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นและผู้บริหารสถานีช่องทีวีดาวเทียม “การ์ตูน คลับ” โดย “ธนัท ตันอนุชิตติกุล” รองประธานกรรมการบริหาร ที่พร้อมพาองค์กรเข้าประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัลช่องรายการเด็ก เพราะมั่นใจทั้งด้านเงินทุน และที่เหนือไปกว่านั้นเขามีคอนเทนต์ที่มีศักยภาพ จะดึงสายตาผู้ชมวัยกระเตาะ เพราะคอนเทนต์การ์ตูนเอนิเมชั่นที่บริษัทมีนั้นมากกว่า 1,000 เรื่อง แต่หากประมูลแล้วไม่ได้ เขาก็ยังมั่นใจว่าผู้ประกอบการรายอื่นยังต้องวิ่งมาหาบริษัทเพื่อหาคอนเทนต์ดีๆป้อนเด็กๆอยู่ดี

ด้วยการที่บริษัทก็มีช่องทีวีดาวเทียมเป็นของตัวเองในชื่อ “การ์ตูนคลับ”ซึ่งอัดคอนเทนต์ออกอากาศเต็มที่ โดยไม้ตายอยู่ที่การวางกลยุทธ์นำการ์ตูน “ใหม่ถอดด้าม”สัดส่วนถึง 70% ออกอากาศที่ช่องตัวเองเป็นแห่งแรก ที่เหลือค่อยกระจายไปยังช่องฟรีทีวีทั้ง 5 และโมเดิร์นไนน์ นอกจากนี้รายการที่ออกอากาศในช่องการ์ตูนคลับยังมีสัดส่วนการออกอากาศครั้งแรก 75% โดยรีรันซ้ำเพียง 15% เรียกได้ว่าปูพรมเจาะตลาดเด็กเต็มที่

เขายังเสริมจุดแข็งให้กับทางช่อง และการเป็นคอนเทนต์โปรวายเดอร์ ด้วยการควักงบประมาณ 500 ล้านบาท ซื้อคอนเทนต์ที่เป็นการ์ตูนเอนิเมชั่นไม่ต่ำกว่า 200เรื่องมาเสริมพอร์ต เพราะการ์ตูนเอนิเมชั่นถือเป็นคอนเทนต์ชั้นเยี่ยมอีกประเภทหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากต้นทุนถือว่าสูงไม่น้อยกว่าคอนเทนต์ประเภทอื่น อาจแซงประเภทสารคดีด้วยซ้ำ เพราะบวกต้นทุนด้านลิขสิทธิ์ การพากย์ รวมๆเข้าข่าย “แพง”

เมื่อทีวีต้องให้ความสำคัญกับ“คอนเทนต์” เป็นหัวใจหลักดึงคนดู ทำให้วันนี้หลายแพลตฟอร์มต่างขนเงินไปซื้อคอนเทนต์ในต่างแดนมาเสริมทัพธุรกิจให้ "แข็งแรง"

บางงานบางเทศกาลที่มีคอนเทนต์ดีๆ อย่างเมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศส เรียกว่าเดินไปชนผู้ประกอบการคนไทยทั้งนั้น เทียบกับในอดีตที่แทบไม่เจอ และนั่นยังทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุนไทย แต่ละปีมีมูลค่ามหาศาล

อีกหนึ่งบิ๊กเพลเยอร์หน้าใหม่ ในแพลตฟอร์มเพย์ทีวี หรือสถานีโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก อย่างบริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) หรือซีทีเอช ของนักธุรกิจรุ่นเก๋าอย่าง “วิชัย ทองแตง”ประธานกรรมการบริหาร มีค่ายสื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญ หลังจากการประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 3 ฤดูกาลมาครอบครอง ก็เห็นการวางยุทธ์ศาสตร์รุกธุรกิจเพย์ทีวีเต็มที่ หวังลูบคมผู้นำตลาดอยางทรูวิชั่นส์

“กฤษณัน งามผาติพงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีทีเอช ประกาศพลิกโฉมธุรกิจทีวีในประเทศไทยให้ออกจากกรอบการรับชมทีวีรูปแบบเดิมๆ เร่งปั้นแพลตฟอร์มใหม่ๆมาสร้างเซอร์ไพรส์คนดู นอกจากนี้ยังเห็นยุทธศาสตร์เชิงรุกของซีทีเอชมาตั้งแต่ต้นด้วยการกุม“King of Content” มาไว้ในมือ ต่อยอดให้เข้าถึงคนดูระดับ “แมส” โดยมีราคาที่เหมาะเจาะเป็นตัวตั้ง

การได้คอนเทนต์กีฬาที่เริ่ดที่สุดในโลก จะเป็นตัวดึงคนดูมาอยู่ในกำมือของซีทีเอช แต่แน่นอนการได้มาซึ่งคอนเทนต์เบอร์ 1 ย่อมมาจากเงิน “ทุน”ที่ “หนา” นั่นทำให้ซีทีเอช กลายเป็นผู้ประกอบการที่โดดเด่นและน่ากลัวสำหรับแพลตฟอร์มเพย์ทีวี ที่มีผู้เล่นหลักๆ 3 ราย คือ ทรูวิชั่นส์ แกรมมี่และซีทีเอชเท่านั้น หากแต่อาร์เอส ขอลอยตัวเหนือการแข่งขันในสมรภูมินี้ เพราะต้องการเป็นแค่ “แพลตฟอร์ม เพย์แชนแนล”

นอกจากเม็ดเงินกว่าหมื่นล้านแลกกับคิงส์ ออฟ คอนเทนต์ เขายังเซ็ทงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท ตะลุยซื้อคอนเทนต์ ชนิดที่เจ้าตัวบอกว่า แพ็คเกจพรีเมี่ยม จะได้ตื่นตาตื่นใจกับคอนเทนต์ใหม่ๆแน่นอน นี่ไม่นับเงินทุนอีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนธุรกิจทีวีของซีทีเอช ตั้งแต่การวางโครงข่ายโทรคมนาคมหรือบรอดแบนด์ให้แข็งแกร่ง

ทั้งหมด “สะท้อน” ให้เห็นความแข็งแรงขององค์กรในการขย่มตำแหน่งเจ้าตลาดในธุรกิจ “เพย์ทีวี” อย่างทรูวิชั่นส์
ขณะที่ “ทรูวิชั่นส์” ในฐานะผู้นำเพย์ทีวีที่ผูกขาดตลาดระดับบนมายาวนาน วันนี้พลาดท่าเสียคอนเทนต์กีฬาดัง ทว่าแม่ทัพทรูฯยังคงไว้ซึ่งวิชั่นส์และเป้าหมายในการเป็น King of Sport เช่นเดิม ด้วยการพยายามดึงรายการกีฬาทั้งไทยและเทศมาไว้ในมือ

สำทับด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ที่ทรูฯจะดำเนินภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ตั้งแต่การเพิ่มช่องรายการอัดแน่นคอนเทนต์ไทย-เทศ เน้นไปที่ช่องเอชดี (ความละเอียดสูง) เป็นหลัก เพราะเป็นแม่เหล็กสำคัญที่ทำให้คนดูเต็มอิ่มกับภาพที่คมชัด การปรับเพิ่มแพ็คเกจการรับชมให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนดู โดยไม่จำเป็นต้องหั่นราคา และให้น้ำหนักความสำคัญในเรื่องของโครงข่าย มุ่งบริการทริปเปิลเพย์ ร่วมกับธุรกิจในเครืออย่างทรูออนไลน์

อีกกลยุทธ์เชิงรุกของทรูฯคือการรุกคืบเจาะผู้บริโภคระดับ “แมส” เป็นการขยายฐานผู้ชมให้กว้างขวางขึ้น โดยอาศัยผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศมาเป็นแนวร่วม

สังเวียนเพย์ทีวีดุ และคึกคักไม่น้อย แต่คนที่เหนื่อยดูเหมือนจะเป็นหน้าใหม่ในแพลตฟอร์มนี้อย่าง จีเอ็มเอ็ม แซท ซึ่งกำลังตั้งไข่บนแพลตฟอร์มเพย์ทีวี แต่หากวัดขุมกำลังทั้งเงินทุนและคอนเทนต์ถือว่าทั้ง 3 ค่าย แข่งได้สูสี!
ขุมพลัง"เงินทุน" และ "คอนเทนต์" ทุกค่าย ทุกแพลตฟอร์มเรียกว่าได้ว่า ท็อปฟอร์มกันสุดๆ มีเงินแต่หากคอนเทนต์ไม่ "เจ๋ง" อาจจะเจ๊ง!เพราะไม่มีคนดู

ไม่มีแม่เหล็กเรียกเรตติ้งเรียกโฆษณาก็เหนื่อย หากคอนเทนต์ดี แต่ทุนไม่ถึง ก็ขับเคลื่อนธุรกิจยาก สู้บิ๊กเพลเยอร์ในตลาดที่ติดอาวุธครบมือคงต้อง "เหนื่อย"

เวทีธุรกิจทีวีวันนี้จึงต้องคับคั่งทั้งสายป่านยาว และรายการเด็ด กลเม็ดมัดใจคนดูและโฆษณา

++++++++

"ทีวีดิจิทัล" จุดเปลี่ยน "ค่าโฆษณา"

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล (อาร์เอส) -ไม่มีใครบอกได้ว่าจุดสมดุลของอัตราค่าโฆษณาในอุตสาหกรรมทีวีอยู่ที่ตรงไหน ไม่ว่าจะออกอากาศบนทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี ทีวีดิจิทัล หรือฟรีทีวี แต่เชื่อว่าอนาคตค่าโฆษณาของฟรีทีวีจะลดลงแน่นอน อาจลงมาถึงระดับ 2 แสนบาทต่อนาที จากปัจจุบัน 4-5 แสนบาทต่อนาที

แต่ปัจจุบันเบอร์รองเหนื่อย เพราะถูกบีบอัตราค่าโฆษณาจากรายใหญ่ หาก Spot ราคาต่างกันเล็กน้อย แต่ผู้ชมและเรตติ้งต่างกันมาก เจ้าของสินค้าและเอเยนซี่ย่อมเทงบโฆษณาไปให้ช่องหลักอย่างฟรีทีวี ช่อง 7 กับ 3 เพราะคนดูจำนวนมาก

ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามว่า เมื่อคนดูช่องรายการผ่านทีวีดาวเทียม ก็มีเรตติ้งที่ไม่น้อย หรือเข้าขั้นหายใจรดต้นคอกับฟรีทีวีช่องหลัก และแซงหน้าช่องเบอร์รอง ทำไมเอเยนซี่จึงประเมินเรตค่าโฆษณาให้ทีวีดาวเทียมต่ำมาก เรตติ้งที่มาจากคนดูช่องทางนี้ไม่ใช่คนเดียวกันที่ดูฟรีทีวีหรือ? เพราะเป็นไปได้ที่พฤติกรรมผู้ชมยุคนี้70-80% อาจดูฟรีทีวีผ่านทีวีดาวเทียมก็เป็นได้

เดียว วรตั้งตระกูล (แกรมมี่) - เมื่อเกิดดิจิทัลทีวี อัตราค่าโฆษณาช่องฟรีทีวีลดลงแน่นอน ส่วนจะเป็นเท่าใดนั้น "เรตติ้ง" เป็นตัวชี้วัด แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั่นคือ Slot เวลาบางช่วงของบางช่อง หากเรตติ้ง"ร่วง" คงจะเห็นการลด แลก แจก แถมแน่นอน เพราะ eyeball เท่าเดิม แต่หากสวิทช์การรับชม ย่อมมีผลต่อเรตติ้งบางรายการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนั่นจะทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการตั้งราคาค่าโฆษณาที่เหมาะสมของธุกิจทีวีในทุกแพลตฟอร์ม

ชลากรณ์ ปัญญาโฉม (เวิร์คพอยท์) -อุตสาหกรรมโทรทัศน์มีการเติบโตในอัตราที่สูงมากนับตั้งแต่ปลายปีผ่านมา และมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยทีวีดิจิทัลจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งการเติบโต ทำให้เม็ดเงินโฆษณาจำนวนไม่น้อยไหลออกจากสื่อหลักทะลักเข้าทีวีดาวเทียม เคเบิลทีวี

ปี 2554 ทีวีดาวเทียมชิงแบ่งเค้กได้ 10% หรือราว 6,500 ล้านบาท จากเม็ดเงินโฆษณาประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท และปี 2555 สัดส่วนขยับเป็น 15% ขณะที่ปี 2556 คาดการณ์ว่าสัดส่วนจะไม่น้อยกว่า 20% แน่นอน ส่วนปี 2557 ทิศทางรายได้โฆษณาจะเป็นอย่างไรต้องจับตาดูการเกิดทีวีดิจิทัล

"แม้ไม่มีการประมูลทีวีดิจิทัล เชื่อว่าอุตสาหกรรมทีวียังเติบโตสูง เพราะผู้ประกอบการหลายรายทั้งอาร์เอส แกรมมี่ เวิร์คพอยท์ ฯลฯ รุกหนักมาก แต่การมีทีวีดิจิทัลจะช่วยทำให้อุตสาหกรรมทีวีเติบโตก้าวกระโดดมากขึ้น หากแต่การเปลี่ยนแปลงในวงการอาจไม่เยอะมากนัก"