เปิดทางกบข.ใช้สูตรเดิม ภาระพุ่ง9.5แสนล.

เปิดทางกบข.ใช้สูตรเดิม ภาระพุ่ง9.5แสนล.

คลังเสนอครม.วันนี้ อนุมัติแก้ไขกฎหมายกบข.เปิดทางให้สมาชิกกบข.เลือกกลับไปใช้ระบบบำนาญแบบสูตรเดิมคาด ภาระเพิ่มขึ้น 9.5 แสนล้านบาท

รายงานข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอังคารที่ 9 เมษายนนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมพิจารณาอนุมัติแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) สาระสำคัญ คือ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกกบข.โดยสมัครใจมีโอกาสเลือกอีกครั้งว่า ประสงค์จะเป็นสมาชิกกบข.ต่อไป หรือ ลาออกจากการเป็นสมาชิกกบข. เพื่อกลับไปรับบำเหน็จบำนาญตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 รวมทั้ง เปิดโอกาสให้ราชการที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกบข.ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกกบข.ด้วย

รายงานข่าวกล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายกบข.ดังกล่าวเป็นไปตามข้อร้องเรียนของสมาชิกกบข.ที่ได้เลือกเข้าเป็นสมาชิกโดยสมัครใจในปี 2540 ที่กฎหมายกบข.มีผลบังคับใช้ เนื่องจาก เงินประเดิมและเงินชดเชย รวมทั้ง ผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวที่รัฐจ่ายให้ผู้รับบำนาญไม่เป็นตามที่คาดไว้และลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับบำนาญที่ไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกกบข. เนื่องจาก ข้อสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณเงินประเดิมและเงินชดเชยลดต่ำลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ในปี 2539 ซึ่งเป็นปีที่จัดตั้งกบข. ปัญหาดังกล่าว จึงนำมาสู่ข้อร้องเรียนของสมาชิกกบข.โดยสมัครใจ โดยข้อเรียกร้องได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นเงินรายเดือนหรือเงินบำนาญ ในส่วนนี้ขอแก้ไขให้ได้รับจำนวนที่เพิ่มขึ้น และ ส่วนที่ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกกบข.

ทั้งนี้ เดิมระบบราชการมีระบบบำเหน็จบำนาญเพียงระบบเดียว คือ บำเหน็จบำนาญ โดยมีสูตรในการคำนวณเงินบำนาญ คือ เงินบำนาญจะเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาราชการและหารด้วย 50 แต่ต้องไม่เกินเงินเดือนเดือนสุดท้าย โดยรัฐจะจ่ายเงินบำนาญนี้ต่อเนื่องจนผู้รับเสียชีวิตและมีจำนวนเงินเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้เกิดภาระต่องบประมาณแผ่นดิน รัฐจึงจัดตั้งกองทุนกบข.ในปี 2539 กำหนดให้ผู้ที่เข้ารับข้าราชการนับจากปีดังกล่าวต้องเข้าเป็นสมาชิก พร้อมปรับสูตรบำนาญใหม่ โดยเงินบำนาญจะเท่ากับอัตราเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายคูณด้วยเวลาราชการและหารด้วย 50 แต่ต้องไม่เกิน 70% ของอัตราเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย

รายงานข่าวกล่าวว่า เมื่อรัฐปรับสูตรบำนาญในทางที่ลดลง รัฐจึงดูแลผู้รับบำนาญ โดยชดเชยให้เป็นเงินก้อน ประกอบด้วย เงินประเดิม เงินชดเชย และ ผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว ซึ่งทำให้ผู้รับบำนาญได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รัฐยังกำหนดให้มีการสะสมเงินของข้าราชการในกบข.อีก 3% ของเงินเดือน โดยรัฐจะสมทบให้อีก 3% เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ผลของการบริหารเงินดังกล่าวโดยกบข.ในช่วงที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เป็นไปตามที่สมาชิกคาดการณ์หรือในอัตรา 9% โดยผลตอบแทนนับตั้งแต่ปี 2540-2555 เฉลี่ยที่ 7.05%

รายงานข่าวกล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังได้ประมาณการภาระงบประมาณที่จะต้องใช้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558 เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายกบข.โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.จากการคาดการณ์ภาระงบประมาณที่จะต้องใช้เพื่อการจ่ายบำเหน็จบำนาญให้กับผู้มีสิทธิทั้งหมดทั้งที่เป็นสมาชิกกบข.โดยสมัครใจและโดยผลของกฎหมาย รวมทั้ง ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกบข.ระหว่างปีงบประมาณ 2558-2601 จะมีจำนวนประมาณ 21.385 ล้านล้านบาท

2.การให้สมาชิกกบข.โดยสมัครใจทั้งที่เป็นข้าราชการและผู้รับบำนาญกลับไปเลือกรับบำนาญตามสูตรเดิมจะมีภาระงบประมาณ ดังนี้คือ จากข้อสมมติฐานที่ว่า ผู้ที่เป็นสมาชิกกบข.โดยสมัครใจทั้งเป็นข้าราชการและผู้รับบำนาญจะมีแนวโน้มกลับไปเลือกรับบำนาญตามสูตรเดิม หากผู้นั้นมีอายุราชการมากกว่า 35 ปี และ มีอายุ ณ วันที่สมัครเป็นสมาชิกกบข.เกินกว่า 40 ปี ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณแล้วปรากฏว่า จะมีข้าราชการและผู้รับบำนาญที่เป็นสมาชิกกบข.ขอกลับไปเลือกรับบำนาญตามสูตรเดิมประมาณ 75% หรือจำนวนประมาณ 7.3 แสนคน จากทั้งหมดที่มีสิทธิเลือกใหม่ประมาณ 9.8 แสนคน เมื่อนำจำนวนสมาชิกกบข.จำนวน 75% ที่คาดว่า จะกลับไปเลือกรับบำนาญตามสูตรเดิม จะต้องใช้งบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ 2558-2601 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 22.467 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ส่วนแรกจำนวน 1.082 ล้านล้านบาท หรือ คิดเป็นภาระงบประมาณจำนวน 2.46 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่เมื่อคำนวณเงินที่รัฐประหยัดได้จากการไม่ต้องส่งเงินสมทบ 3% และ เงินชดเชย 2% ของเงินเดือนจำนวน 1.32 แสนล้านบาท ภาระที่เพิ่มขึ้นจะอยู่ที่ 9.5 แสนล้านบาท หรือ เฉลี่ยประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาทต่อปี

"เราคาดว่า ภาระงบประมาณอาจน้อยกว่านั้น เพราะเชื่อว่า สมาชิกกบข.โดยสมัครใจบางคนอาจไม่เลือกแนวทางที่จะกลับมาใช้สูตรบำนาญเดิม เพราะหากกลับมา ก็จะไม่ได้เงินก้อนที่จะได้จากเงินประเดิม เงินชดเชยและเงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นของเงินดังกล่าว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินของสมาชิกและสำหรับข้าราชการบำนาญ ซึ่งเคยรับเงินก้อนนี้ไปแล้ว ก็จะต้องนำเงินก้อนนั้นมาคืนหลวงในระยะเวลา 1 ปีด้วย"รายงานข่าวกล่าว

รายงานข่าวกล่าวด้วยว่า เนื่องจาก การแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะทำให้รัฐมีภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงเห็นสมควรให้จัดสรรงบประมาณมากกว่า 20% ของภาระเงินบำนาญแต่ละปีเข้าบัญชีสำรองเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับภาระการจ่ายบำเหน็จบำนาญ ขณะเดียวกัน เงินก้อนที่รัฐได้เคยจ่ายจากเงินประเดิม เงินชดเชยและเงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นของเงินดังกล่าวแก่สมาชิกกบข.โดยสมัครใจที่เลือกสูตรบำนาญแบบเดิม ไม่ต้องนำส่งคืนคลัง แต่ให้ส่งเข้าบัญชีสำรอง เพื่อให้กบข.นำเงินดังกล่าวไปบริหารให้เกิดดอกผล เพื่อรองรับภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเงินจำนวนนี้ มีอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาท

"ถ้ามองในแง่ผลกระทบที่จะมีต่อเงินในกบข.ก็จะพบว่า ไม่ได้กระทบมากนัก ในทางกลับกัน ยังแข็งแกร่งขึ้น เพราะรัฐจะใส่เงินเข้าไปเพิ่ม ขณะเดียวกัน เงินชดเชย เงินสมทบต่างๆ ที่รัฐได้ใส่ไว้ให้แก่สมาชิกกบข.โดยสมัครใจ ก็ยังอยู่เหมือนเดิม"รายงานข่าวกล่าว

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังเสนอให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินสะสมและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าว รวมทั้ง เงินบำนาญส่วนเพิ่มด้วย เนื่องจาก การดำเนินการตามแนวทางที่ให้ข้าราชการและผู้รับบำนาญ ซึ่งเป็นสมาชิกกบข.โดยสมัครใจสามารถเลือกใช้สูตรบำนาญแบบเดิมนั้น ทำให้กบข.ต้องคืนเงินสะสมที่สมาชิกได้สะสมไว้และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวให้แก่สมาชิก และ ทางราชการต้องคำนวณบำนาญที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้รับบำนาญ ดังนั้น เพื่อให้ความช่วยเหลือและลดภาระให้แก่ข้าราชการและผู้รับบำนาญ จึงควรยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินดังกล่าว