ฐาปน-ฐิติวุฒิ์ ธุรกิจแสนล.ในมือนิวเจน

ฐาปน-ฐิติวุฒิ์ ธุรกิจแสนล.ในมือนิวเจน

จากความสัมพันธ์ครอบครัว ขยับสู่หุ้นส่วนธุรกิจ สองผู้บริหารหนุ่ม ฐาปน สิริวัฒนภักดี ทายาทเจ้าพ่อน้ำเมา และฐิติวุฒิ์ บุลสุข ลูกชายเจ้าพ่อน้ำด

คนรุ่น 1 ตั้งต้นกิจการมาแบบเสื่อผืน หมอนใบ ปากกัด ตีนถีบ ฟันฝ่าสารพัดความเหนื่อยยาก กว่าจะยิ่งใหญ่มา อย่างวันนี้ได้

เมื่อธุรกิจส่งมอบสู่รุ่นลูก ในวันที่อาณาจักรแผ่ขยายเต็มใบ แรงกดดัน ความคาดหวัง และความรับผิดชอบแสนยิ่งใหญ่ ก็ติดตามผู้รับมอบมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ มรดกธุรกิจของครอบครัวไม่ใช่แค่ “ต้องอยู่รอด”

ทว่ายังคงเติบใหญ่อย่างงดงาม ในยุคของทายาทอย่างพวกเขา..

หนึ่งทายาทมังกร ที่ร่วมเป็นต้นแบบสานต่อธุรกิจครอบครัว ในการอบรมหลักสูตร “เคล็ดลับ..มังกรธุรกิจครอบครัว” โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการเชิงสร้างสรรค์ (CEDI) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อเดือนที่ผ่านมา คือ “ฐาปน สิริวัฒนภักดี” ลูกชายของเจ้าสัว "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ผู้ครอบครองอาณาจักรแสนล้าน กลุ่มไทยเจริญคอร์ปอเรชั่น หรือ ทีซีซี กรุ๊ป ที่ก่อตั้งมากว่า 30 ปี มหาเศรษฐีอันดับสองของไทย และอันดับ 82 ของโลก (มีสินทรัพย์รวมนับ 11,700 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 350,000 ล้านบาท) จากการจัดอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกประจำปี 2013 โดยนิตยสาร “ฟอร์บส์” (The 2013 Forbes Billionaires)

ธุรกิจยิ่งใหญ่ เริ่มต้นจากการขายสินค้าให้โรงงานสุรา สู่การเป็นเจ้าของโรงงานสุรา จนได้รับสัมปทานโรงงานสุรา โดยได้ประมูลโรงกลั่นสุราในนาม “กลุ่มแสงโสม” และขยายกิจการไปสู่อุตสาหกรรมต่อเนื่อง อย่าง เบียร์ แอลกอฮอลล์ น้ำตาล บรรจุภัณฑ์ และอื่นๆ เวลาเดียวกันก็ได้เข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งลงทุนในกิจการของกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ เช่น บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ และกลุ่มอาคเนย์ประกันภัย ประกันชีวิต เป็นต้น

นี่คือการสร้างเนื้อสร้างตัวที่เกิดขึ้นในยุคผู้ก่อตั้ง ซึ่งวันนี้ทายาททั้ง 5 ของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" นันท์ ,วัลลภา, ฐาปน, ฐาปนี และ ปณต สิริวัฒนภักดี รวมทั้งคู่เขย ต่างเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัว ในภาระหน้าที่ซึ่งแตกต่างกันออกไป ตามแต่ความสามารถและความถนัดของแต่ละคน

โดย “ฐาปน” ลูกชายคนโต ทายาทธุรกิจอันดับ1 ผู้ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มทั้งหมด ในฐานะกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ ที่มีบริษัทในเครือมากถึง 106 บริษัท ครอบคลุม 4 สายธุรกิจ คือ สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร มีรายได้ปีที่ผ่านมาอยู่กว่า 130,000 ล้านบาท

ไทยเบฟ ยังมีแผนสยายปีกการลงทุนบนเป้าหมายการเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอาเซียน รุกออกไปลงทุน อาทิ เวียดนาม และพม่า ล่าสุดกับการเทคโอเวอร์บริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ในอาเซียน ด้วยมูลค่าดีลกว่า 3 แสนล้านบาท ร่วมกับบริษัทในเครืออย่าง ทีซีซี แอสเซ็ทส์

“ถามว่าลำบากใจไหม ต้องบอกว่า ก็สบายๆ เพราะการเริ่มต้นทำงาน เราไม่จำเป็นต้องไปสร้างความกดดันให้ตัวเองมากเกินไป ผู้ใหญ่ท่านว่าอะไรมา ก็เรียนรู้ ท่านบอกซ้าย เราก็ซ้าย บอกขวา เราก็ขวา ช่วงแรกๆ จึงเป็นการเรียนรู้ และปรับตัวของพ่อกับลูก”

ช้าง"หนุ่ม"บอกกับเรา ถึงความรู้สึกในวันแรกๆที่เข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว หลังเรียนจบปริญญาตรีด้านบริหารธุรกิจ สาขา Finance และปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน จาก Boston University โดยเริ่มงานแรกที่บริษัท สุรากระทิงแดง (1988) จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือไทยเบฟ ดูแลกระบวนการผลิตและสายการผลิตสินค้า และเรียนรู้ด้านการตลาดเพื่อส่งออก

เหตุผลที่ทายาทอย่างเขา รวมถึงพี่ๆ น้องๆ ไม่อิดออดที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจครอบครัว และไม่มีใครแตกแถวไปทำอย่างอื่น แม้วันที่แต่งงานมีครอบครัวกันหมดแล้ว เขาบอกว่า เกิดจากการถูกปลูกฝังให้เข้าใจและคุ้นเคยกับธุรกิจครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก จนค่อยๆ ซึมซับความรับผิดชอบนี้มาโดยธรรมชาติ

“ตั้งแต่เล็กจนโต ก็ทราบว่าคุณพ่อคุณแม่(คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี) ท่านสร้างธุรกิจนี้มา และให้เวลากับการบริหารงานมาก เพื่อสร้างความมั่นคงให้สถานภาพของครอบครัว ฉะนั้นพวกเราจึงมีความคุ้นเคย และเข้าใจ ว่าวันใดวันหนึ่ง ก็จะต้องมาเกี่ยวโยงกับธุรกิจครอบครัว”

แม้เริ่มต้นเข้ามาช่วยธุรกิจ เพราะอยากสร้าง “ความสบายใจ” ให้กับผู้ก่อตั้ง ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว แต่เมื่อเริ่มเข้ามาทำงาน พร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นเรื่อยๆ สถานภาพระหว่างพ่อลูก ก็ถูกพัฒนาตามไปด้วย

“เมื่อเวลาผ่านไป จาก Relationship ในความเป็นพ่อกับลูก ก็ถูกพัฒนาไปถึงจุดที่เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ (Partnership) มากขึ้น” ฐาปน บอกเช่นนั้น

ทายาทแสนล้านยังบอกว่า ทุกวันนี้เริ่มเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง และเข้าใจในหน่วยงานที่ตัวเองรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจมากกว่าคนเป็นพ่อด้วยซ้ำ

“ผมว่านี่เป็นเรื่องของ Partnership ที่ตามมา จากที่ท่านเคยสั่งอย่างเดียว คราวนี้ก็จะเริ่มถามกลับมากขึ้น ว่าผมมองอย่างไร คิดว่าดีไหม เป็นการทำงานบนความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสามารถปรับตัวได้มากน้อยแค่ไหน”

เมื่อความคิดแบบคนรุ่นใหม่ เริ่มผสมผสานเข้ากับวิสัยทัศน์และประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนหน้า กลายเป็นการสร้างความแกร่งในการเดินเกมธุรกิจ เขาบอกว่า คนรุ่น 1 เติบโตมาแบบ “มวยจีน” หรือการทำธุรกิจสมัยเก่า ที่อาจไม่มีกระบวนท่า ทว่าเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง คู่แข่งยังยากจะเดาทิศทางการออกหมัด

หนึ่งบทเรียนจากพ่อ ที่เปรียบเปรยวิธีการบริหารงานของคนรุ่นเก่าที่ถึงอย่างไรก็ยังมีข้อดี ส่วนการนำไปใช้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการ "ผสมผสาน" การบริหารแบบเก่ากับสมัยใหม่เข้าไว้ด้วยกัน แบบยืดหยุ่นตามสถานการณ์

ฐาปน ยังบอกด้วยว่า การทำงานในฐานะลูก ใช่ว่าจะหวังแค่ความเอ็นดูจากพ่อแม่ แล้วปล่อยธุรกิจให้โตแบบ “ตามมีตามเกิด” สำหรับเขา ทายาทต้องพิสูจน์ตัวเอง ต้องทำ“เคพีไอ”ร่วมกับพ่อ นอกเหนือจากตัวเลขผลกำไร ซึ่งเป็นพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังต้องประกอบด้วย 4 คำนี้

“เชื่อใจ มั่นใจ ถูกใจ และทันใจ”

“ผมจะประเมินในสิ่งนี้ ซึ่งสะท้อนอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่บอกว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นนะ แต่มีขึ้นได้ก็มีลงได้ บางครั้งก็ถูกใจ บางครั้งคะแนนถูกใจก็หายไปดื้อๆ บางเรื่องเคยทันใจ แต่บางครั้งไม่ทันใจ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ และปรับตัว วันนี้โชคดีที่ได้เรียนรู้ประสบการณ์ธุรกิจจากคุณพ่อ แต่ในทางเดียวกัน ผมก็ต้องเรียนรู้เอง และคุณพ่อเองก็ต้องปรับตัว”

ไฟพลังของคนรุ่นใหม่ ย่อมอยากเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งอย่างในองค์กร แต่บางครั้งไม่ง่าย ยังต้องรู้จักรอและใช้เวลา

“คุณพ่อบอกผมว่า.. อั๊วเข้าใจลื้อนะ แต่ว่าจะให้เปลี่ยน อั๊วก็เสียว ไม่เปลี่ยน อั๊วก็เสียว”

คำของคนรุ่นแรก สะกิดเตือนให้คนรุ่นหลังกลับมาใช้เวลา เพื่อตกผลึกความคิดร่วมกัน และสื่อสารให้เป็น เพราะแม้จะเป็นธุรกิจครอบครัว แต่ก็ไม่ใช่คนทำงานมีแค่ “พ่อกับลูก” ทว่ายังมีทั้งฝ่ายบริหาร และพนักงาน ที่ต้องรับรู้และเข้าใจตรงกันด้วย

สิ่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อเป้าหมายธุรกิจ ตามวิสัยทัศน์ของเจ้าสัวเจริญ ที่บอกว่า อยากให้ไทยเบฟ เป็นสถาบัน เป็นปึกแผ่นและ เป็นมืออาชีพมากขึ้น

“ไทยเบฟ วันนี้ คนอื่นอาจมองว่าเป็น Family Business แต่เราเดินมาไกลแล้ว เราเป็นหนึ่งในองค์กรมหาชน วันนี้เราเป็นเพียงตัวแทนผู้ถือหุ้นรายหนึ่งที่เข้ามาสร้างคุณค่าให้กับทาง Stakeholders และผลักดันธุรกิจให้เติบโต ไม่ว่าจะระดับประเทศ ระดับภูมิภาค เชื่อมโยงเครือข่ายของเรา ในรูปแบบของธุรกิจที่ต้องปรับตัวตลอดเวลา”

ครอบครัวหนึ่งพัฒนาจากความสัมพันธ์พ่อลูก ไปสู่การเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ร่วมผลักดันธุรกิจของครอบครัวให้ก้าวสู่ระดับสากล ขณะที่อีกครอบครัว เติบโตมาพร้อมกับการบริหารแบบมืออาชีพตั้งแต่ต้น

“สำหรับเสริมสุข ผมไม่แน่ใจว่านี่ เป็นธุรกิจครอบครัวหรือไม่ เมื่อบริษัทของเราถูกก่อตั้งมาจากกลุ่มนักธุรกิจในเมืองไทย หลายครอบครัว และครอบครัวผม (บุลสุข) ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งคุณปู่ (ทรง บุลสุข) เป็นผู้บริหารในช่วงเริ่มต้น”

“ฐิติวุฒิ์ บุลสุข” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) บอกเล่าที่มาของตำนานความยิ่งใหญ่ธุรกิจ 6 ทศวรรษ ที่เพิ่งผ่านความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ กับการแยกทางระหว่าง เสริมสุข กับ เป๊ปซี่ จนกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ น้ำดำสัญชาติไทย (เอส โคล่า) ในยุคเจนเนอเรชั่นที่ 3 เช่นเขา

แรงกดดันพร้อมถาโถมเข้าใส่ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงาน ยิ่งเมื่อมองย้อนไปตั้งแต่รุ่นปู่ผู้บุกเบิก “ทรง บุลสุข” มาสู่รุ่นพ่อ “สมชาย บุลสุข” ที่ช่วยกันสร้างความมั่นคงทางการตลาดและการขยายตัวของธุรกิจ จนกลายเป็นประวัติศาสตร์ของเป๊ปซี่ในไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่สามารถเอาชนะโค้กได้ในขณะนั้น

มาสู่ยุคของเขา ในฐานะลูกชายคนโตของตระกูล ไม้ต่อที่รับมาไม่ใช่แค่รับไว้ไม่หล่นมือ แต่ต้องมั่นคงพอที่จะส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังของเสริมสุขนับจากนี้

วิธีสอนงานแบบ “บุลสุข” คือให้ทายาทคลุกคลีกับกิจการของครอบครัวมาตั้งแต่เล็ก โดยติดสอยห้อยตามผู้เป็นพ่อ (สมชาย) ไปโรงงานและสำนักงานอยู่เสมอๆ มองเห็นพ่อทำงานหนัก และเติบโตมาบนความคาดหวัง แม้แต่ตัวเขาก็ต้องการพิสูจน์ตัวเอง ว่ามีความสามารถเพียงพอ สำหรับ “เสริมสุข” ไม่ใช่แค่นามสกุล “บุลสุข” เท่านั้น

ฐิติวุฒิ์ เริ่มชีวิตการทำงานเมื่ออายุ 25 ปี หลังเรียนจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อด้วย MBA ด้านบริหารจัดการ จาก Babson College สหรัฐอเมริกา และไม่ได้ออกสตาร์ทที่เสริมสุขทันที แต่ถูกส่งตัวไปเก็บประสบการณ์จากพันธมิตร บริษัท เป๊ปซี่-โคลา อินเตอร์เนชั่นแนล อยู่ยาวนานถึง 10 ปี โดยเรียนรู้งานหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะระบบการทำงานแบบ “อินเตอร์” ติดตัวมาเป็นต้นทุนสำคัญสำหรับเขา

เมื่อเก็บประสบการณ์แน่นปึ่ก ก็พร้อมกลับมาทำงานที่เสริมสุข โดยร่วมงานกับผู้เป็นพ่อ ที่เขาบอกว่า “เป็นทั้งพ่อและนาย”

“เมื่อกลับมาที่เสริมสุข ก็ต้องคุยกันว่า ความคาดหวังคืออะไร ระหว่างคนที่เป็นนายของเรา ซึ่งบังเอิญว่า เป็นคุณพ่อด้วย บทบาทของผมก็ไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่ง ที่ต้องรายงานตรงกับคุณพ่อ ซึ่งขอบเขตและหน้าที่ความรับผิดชอบต้องคุยกันให้ชัดเจน เพราะเราโตมาอีกแบบหนึ่ง”

อยู่ในองค์กรมืออาชีพมาเป็นสิบปี สั่งสมวิธีคิดและวิธีการทำงานแบบมืออาชีพให้กับตัวเขา จนเดินเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญของธุรกิจ

“สมัยสิบปีที่แล้ว อาจยังไม่เท่าไร เพราะสินค้าดีอยู่แล้ว ช่วงตื่นเต้นก็สองปีหลังนี่แหล่ะ (หัวเราะ) มันมีปัจจัยข้างนอกเข้ามาตลอด และอีกจุดเปลี่ยน คือ มีไทยเบฟ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเสริมสุข ทางฝ่ายบริหารก็ประเมินว่า องค์กรจะไปต่ออย่างไร ตอนนั้นกำลังจะเข้าสู่ปีที่ 60 การจะไปด้วยวิธีเดิมๆ คงไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะคุยกันระหว่างพ่อลูก หรือในฐานะคนทำงานกับฝ่ายบริหารด้วยกัน เรามีความคิดตรงกันว่า ..องค์กรต้องเปลี่ยนแปลง”

ที่มาของความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ และน่าตื่นเต้นในวันนี้ ซึ่งปรากฏอยู่ในพื้นที่สื่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

การเปลี่ยนแปลงที่สำเร็จได้ แม้จะมีความแตกต่างในเจนเนอเรชั่น ฐิติวุฒิ์บอกว่า เกิดจากการสร้างความชัดเจน ในบทบาทหน้าที่ตั้งแต่ต้น ให้ไม่คลุมเครือ ไม่สับสน แจ่มชัดในเป้าหมาย และความต้องการที่จะก้าวต่อไปร่วมกัน บวกกับการสื่อสารที่ดี ซึ่งเขาย้ำว่า “สำคัญมากๆ”

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะการทำงานระหว่างพ่อกับลูก หรือกับเพื่อนร่วมงาน “ต้องยอมรับความต่าง” เพราะทุกคนย่อมมีความเป็นตัวตนของตัวเอง แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะคิดอ่านเหมือนกันได้ ซึ่งการยอมรับความต่าง สำหรับเขา คือจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

“ผู้ใหญ่ให้โอกาสเด็กเป็นเรื่องสำคัญ การจะไปคาดหวังว่าจะยังทำเหมือนเดิมทุกอย่าง คงเป็นไปไม่ได้ เพราะหลายอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว และการทำงานไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่ว่าจะองค์กรไทย องค์กรฝรั่ง หรือองค์กรครอบครัว ต่างมีจุดแข็งด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้และผสมผสานจุดดีของแต่ละตัวอย่างไร ให้เป็นประโยชน์สูงสุด”

อะไรดี ก็เก็บไว้ อะไรต้องแก้ไขปรับปรุง ก็ดำเนินการ เพื่อคิดอ่านแบบองค์กรมืออาชีพ

เช่นเดียวกับมรดกทางความคิด ที่ส่งทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเขาถือปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัด อย่างคำว่า “Commitment” สำหรับผู้เกี่ยวข้องรอบด้าน เขาย้ำว่า เมื่อรับปากอะไรใครแล้ว ต้องมั่นใจว่าทำได้ ถ้าไม่ได้ก็พูดกันตรงๆ ขณะเดียวกัน Commitment ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องลงมือปฏิบัติด้วย รวมถึงอย่าทำลายความเชื่อใจที่คนอื่นมีให้กับเรา

“มีคำหนึ่งที่ปู่สอนมา และพ่อก็เคยพูดกับผมตั้งแต่สมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ ท่านบอกว่าให้จำประโยคนี้ให้ดีนะ “Don’t fail the one who trust you” คำว่าโอกาสที่มีผู้หยิบยื่นให้กับเรา ด้วยความเชื่อใจและมั่นใจ เป็นสิ่งที่เราต้องสนองตอบ และไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมันคือหน้าที่กับความรับผิดชอบ”

การทำงานยังไม่ใช่เรื่องของ “ความชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” แต่คือ หน้าที่ กับ ความรับผิดชอบ ในฐานะผู้รับมอบโอกาสจึงต้องทำมันให้ดีที่สุด เวลาเดียวกันก็ต้องต่อยอดสู่วิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่อย่างเขา คือ “Smart” กับ “Smile”

“Smart คือ ทำงานต้องให้ Smart วิธีการทำงาน ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อะไรไม่ดีก็ต้องเปลี่ยน กับ Smile ซึ่งสำคัญที่สุด คือไม่ว่าจะทำงานหรือใช้ชีวิต สำคัญคือ ทำอย่างไรให้มีความสุข”

ขณะที่ทายาทเจ้าสัวเจริญ ก็มีคมคิดมากมายที่ซึมซับมาจากพ่อกับแม่ เขาว่า พ่อให้มา 4 คำ คือ “อดทน เสียสละ เงียบ และร่าเริง”

“อดทน จะทำให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ เสียสละ จะทำให้เราพ้นภัย ส่วน เงียบ คือ การทำให้เรามีสติ เมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญาหรือความคิด เพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ และ ร่าเริง คือทำให้ชีวิตมีความสุข สุขภาพดี มีชีวิตที่ยืนยาว”

ฐาปน ขยายความสิ่งที่ได้จากผู้เป็นพ่อ ก่อนเติมเต็มด้วย 4 ประโยค จากแม่ ที่บอกว่า..

“สุขภาพเป็นของเราเอง เงินทองเป็นของคนอื่น อำนาจคือเรื่องชั่วคราว ชื่อเสียง เป็นเรื่องชั่วนิรันดร์”

แผนส่งมอบไม้ต่อสู่เจนเนอเรชั่นถัดไป สำหรับครอบครัว “สิริวัฒนภักดี” ในรุ่น 2 พวกเขาเริ่มพัฒนาข้อตกลงร่วมกันเพื่อก้าวไปสู่ธรรมนูญครอบครัว เริ่มจากการรวมตัวกัน มี“การประชุมพี่น้อง” ตกลงการทำงาน ตลอดจนไปฟังบรรยาย Family Business ในต่างประเทศร่วมกัน วิธีการของบ้านนี้ คือ ครั้งแรกมีพ่อและแม่ร่วมทางไปด้วย และต้องกลับไปอีก 2 ครั้ง โดยครั้งที่สองไปเมื่อ สมาชิกทุกคนแต่งงานกันครบทุกคู่ และครั้งที่สาม คือเมื่อทุกคู่มีทายาทแล้ว เพราะความคิดความอ่านในแต่ละสถานภาพชีวิตย่อมแตกต่างกัน

“สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ดี ที่จะต้องพูดคุยกันและระบุอะไรเอาไว้บ้าง เพื่อที่อย่างน้อยเมื่อเกิดข้อติดขัดอะไรขึ้นมา เราจะได้กลับมาทบทวนในสิ่งที่เคยตกลงกันไว้” เขาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำข้อตกลงในครอบครัว"

เพื่อให้ธุรกิจของครอบครัว ยังผงาดเป็นองค์กรแห่งมืออาชีพ ด้วยฝีมือมังกรธุรกิจรุ่นใหม่อย่างพวกเขา