ซินเนคผลัดใบสุธิดา มงคงสุธีว่าที่นายหญิงคนต่อไป

เปิดเจเนอเรชั่น 3 ของตระกูล มงคลสุธี ยี้-สุธิดา ลูกสาววัย 31 ปี ของ สุพันธุ์ มงคลสุธี เจ้าของ ที.เค.เอส.เทคโนโลยี & ซินเน็ค"
ไม่ต้องรอคำสั่งประกาศิต!! “ยี้” สุธิดา มงคลสุธี ลูกสาวคนโตวัย 31 ปี ของคุณพ่อ “สุพันธุ์ มงคลสุธี” เจ้าของ “ที.เค.เอส.เทคโนโลยี” (TKS) ผู้ถือหุ้นใหญ่ “ซินเน็ค (ประเทศไทย)” (SYNEX) รู้อยู่เต็มอกว่า เมื่อวิชากล้าแกร่ง เธอต้องโดดมานั่งเก้าอี้ “แม่ทัพหญิง” ใน SYNEX เต็มตัว
ยิ่งหัวหน้าครอบครัว ตอกย้ำว่า “วันหนึ่งพ่อจะถอยไปนั่งฉากหลัง” เธอยิ่ง “ติดสปีด” รีบปฎิบัติการณ์ “กอบโกย” ประสบการณ์นอกบ้านเต็มสูบ โดยวันนี้ “ผู้เป็นพ่อ” ให้เธอ “ชิมลาง” ดูแลการเรื่องเงินๆทองๆไปพรางก่อน ในฐานะผู้จัดการฝ่ายการเงิน
“สุธิดา มงคลสุธี” ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเท่า "ติ" จุติพันธ์ มงคลสุธี ลูกชายคนที่ 3 วัย 27 ปี ของ “สุพันธุ์” เพราะเขาเป็นนักพัฒนาเว็บไซต์สร้างชุมชนวิกิพีเดียภาษาไทยในช่วงแรก ปัจจุบันรับหน้าที่ดูแลฝ่าย IT Manager ใน “ที.เค.เอส. เทคโนโลยี” ส่วนลูกสาวคนที่ 2 วัย 29 ปี “ยู้” สุพรรณษา มงคลสุธี” ตอนนี้กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น ส่วนคนสุดท้อง “เพนนี” ศรุตา มงคลสุธี วัย 15 ปี ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
ก่อนจะพูดถึง “อนาคต” ของ “ซินเน็ค (ประเทศไทย) “ยี้ สุธิดา” ขอเล่าเส้นทางการศึกษา เพื่อเตรียมตัว “นั่งแท่นบริหาร” แทนพ่อให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า หลังคว้าเกียรตินิยมอันดับ 2 ปริญญาตรี คณะบัญชี สาขาการเงินและการธนาคาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2546 ผู้พ่อเห็นว่า ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ใน SYNEX เป็นคนไต้หวัน เลยอยากให้เรียนภาษาจีนกลางเพิ่มเติม
“ยี้” จึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนหลักสูตรภาษาจีนในมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง ประเทศจีน ก่อนจะมาเรียนปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการจัดการนานาชาติ ควีน แมรี่ มหาวิทยาลัยแห่งลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในช่วงปี 2550 จากนั้นก็ไปศึกษาต่อหลักสูตรภาษาเยอรมัน สถาบัน Die Neue Schule ประเทศเยอรมัน อีก 1 ปี เรียกว่า อัดเรื่องภาษากันสุดๆ
"ตอนเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ตั้งใจจะเรียนเกี่ยวกับภาษา เพราะชอบมาก แต่คุณพ่อแนะนำว่าน่าจะเรียนด้านการเงินก่อนจะดีกว่า เพราะท่านไม่มีความถนัดเรื่องนี้ เมื่อโตขึ้นจะได้มาดูเรื่องเงินๆทองๆในบริษัทแทนพ่อ เพื่อปิดจุดอ่อน" เธอเล่า ก่อนจะบอกว่า..
"สุดท้ายก็ยอมทำตามใจคุณพ่อ ในใจไม่อยากเรียนเลย จริงๆที่ผ่านมาท่านก็พยายามปลูกฝังเรื่องเงินๆทางอ้อมตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการให้มาฝึกงานง่ายๆในบริษัท ถือเป็นการใช้เวลาว่างช่วงปิดเทอมให้เป็นประโยชน์ มาบ่อยๆก็เริ่มรู้สึกว่าเมื่อโตขึ้นต้องมารับช่วงตรงนี้ต่อจากคุณพ่อ จึงจำเป็นต้องวางแผนการเรียนตั้งแต่เด็กๆ เรียนการเงินไปสักพัก รู้สึก
“ชอบจัง” การเงินมีอะไรให้ทำเยอะแยะ ตอนนั้นสนุกกับการเรียนมากๆ"
ถามถึงประสบการณ์ทำงานในอดีต? ยี้บอกว่า "ตอนเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ พ่อบอกว่ายังไม่อยากเพิ่งกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว ซึ่งแนวทางนั้นก็ตรงกับที่ใจคิด (หัวเราะ) จึงตัดสินใจไปฝึกงานในตำแหน่งผู้จัดการฝึกหัด (นักวิเคราะห์หลักทรัพย์) บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ทำได้ 1 ปี ก็ย้ายไปทำฝ่ายการลงทุนระหว่างประเทศ ทำให้มีโอกาสมาดูแลพอร์ตลงทุนของประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง แต่ก็ทำได้เพียงระยะสั้นๆ แล้วก็บินไปเรียนภาษาต่อ
กลับมาเมืองไทยได้ 4-5 วัน พ่อก็ให้เข้ามาทำตำแหน่งเลขานุการใน SYNEX หน้าที่หลักเข้าประชุมบอร์ด เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นชาวไต้หวัน ทำให้มีโอกาสได้ใช้ภาษา “ทำงานในวันนั้นเหมือนเป็นโรงเรียนชั้นดี” เพราะได้เห็นวิชั่นของคนเก่งๆ"
หลังนั่งเงียบมานาน “สุพันธุ์” พูดเสริมลูกสาวว่า.. "ยี้ ทำงานได้ 1 ปี ผมก็ให้เขาเข้ามาดูการเงิน มันถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ถือเป็นปรับโครงสร้างทางการเงิน ทุกวันนี้ระบบการเงินของบริษัทเข้มแข็งมากขึ้น เรื่องนี้ก็ต้องยกนิ้วให้ยี้ เพราะเขานำเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการเงินเข้ามาช่วยในการทำงาน ทำให้เรามีต้นทุนการเงินถูกลง สถาบันการเงินเองก็เริ่มยอมรับเรามากขึ้น เขาเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ 1 ปี น่าจะประมาณปี 2555 เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากขึ้น"
“ลูกสาวคนโต” แทรกขึ้นว่า.."ยอมรับแรกๆ “กดดัน” มาก เมื่อรู้ว่าต้องมานั่งดูแลเรื่องเงินๆ ทำให้ต้องเข้ามาเรียนรู้ระบบการเงินของบริษัทก่อนเป็นอันดับแรก ดูไปดูมาพบว่า เราต้องปรับเปลี่ยนดัชนีชี้วัดผลการปฏิบัติงาน (KPI) เพื่อลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งจะเริ่มเห็นผลชัดๆภายในไตรมาส 1/56 นอกจากนั้นยังเห็นว่าต้องปรับเปลี่ยนวิธีการชำระเงินให้กับผู้รับเช็คใหม่ ด้วยการนำระบบบริการธนาคารอิเล็กทรอนิก หรือ E-banking มาใช้มากขึ้น ปัจจุบันทำสำเร็จแล้ว 4 ธนาคาร จากเดิมใช้ระบบ Manual แต่ปัจจุบันบริษัททำทุกอย่างผ่านระบบ Online รวมถึง “เช็ค” ด้วย จากเมื่อก่อนซัพพลายเออร์ต้องมารับเช็คด้วยตัวเอง ตอนนี้ก็ให้แบงก์เป็นผู้ออกเช็คให้เลย ทำให้ระบบการทำงานลดลง"
“สุพันธุ์” ยังชื่นชม“ลูกสาวคนโต”ว่า.. "เขาทำงานตรงนี้ได้ดีมาก ผมยอมรับเขามีพัฒนาการเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในแง่ต้นทุนทางการเงินของปี 2555 ทั้งๆ ที่บริษัทต้องใช้เงินจำนวนมาก ผมเชื่อว่าปี 2556 ต้นทุนทางการเงินจะลดลงในตัวเลข “สองหลัก” ไม่เชื่อรอดูได้ในงบไตรมาส 1/56
อนาคต “ยี้” ต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ทำทุกอย่างเหมือนเป็น “เงา” ตามตัวพ่อ เพราะเขาจะต้องมารับหน้าที่ตรงนี้แทนทั้งหมด วันนี้ผมเองเริ่ม “ถอย” ออกมาเป็นที่ปรึกษานั่งทำงานอยู่ข้างหลังแล้ว บริษัทมีโครงสร้างขนาดใหญ่ พนักงานจำนวนมาก และมีผู้บริหารระดับสูงหลายท่านที่อยู่กับเรามายาวนาน ฉะนั้นต้องค่อยๆผู้บริหาร เรียนรู้การปรับเปลี่ยนใหม่ๆ ผมมีคอนเซ็ปว่าถ้าลูกๆทำงานไม่ไหว ไม่เป็นไร ผมพร้อมจะหามืออาชีพมานั่งทำแทนแล้วให้ลูกนั่งเป็นผู้ถือหุ้น”
เมื่อถึงเวลา..มั่นใจ “ลูกสาวคนนี้” จะยืนแทนที่พ่อได้เป็นอย่างดี
หลัง “ลูกสาวสุดเลิฟ” ร่ายประวัติมาเกือบชั่วโมง “สุพันธุ์” อาสาอัพเดทแผนธุรกิจปี 2556 ของ SYNNEX ให้ฟังว่า..
"รายได้ต้องเติบโตเฉลี่ย 10-12% จากปี 2555 ที่มีรายได้ 20,576 ล้านบาท ถามว่ามีปัจจัยอะไรมาสนับสนุน หลักๆมาจากการที่เราขยายช่องทางการตลาดมากขึ้น แถมยังวางแผนจะขยายสาขาบริหารซ่อมบำรุงอีกประมาณ 3 แห่ง ขณะเดียวกันยังมีค่าใช้จ่ายลดลง และภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทำให้บริษัทเอกชนหลายแห่งมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ๆมากขึ้น"
สุพันธุ์ ยังคาดว่า ภายในปี 2556 จะมีรายได้จากธุรกิจร่วมทุนในพม่า และกำลังจัดตั้งสาขาในกัมพูชา หลังแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายไปแล้ว ขณะเดียวกันยังจะแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในลาวด้วย คาดว่ารายได้ในต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 200-300 ล้านบาท
"ผมหวังว่าภายใน 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นเห็นสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศแตะระดับ 1,000 ล้านบาท"
เขายังวิเคราะห์สถานการณ์อุตสาหกรรมไอทีว่า ในปี 2556 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าภายในไตรมาส 2/56 จะเริ่มมีการใช้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz. รวมถึงระบบปฏิบัติการ Windows 8 ส่วนนี้จะเข้ามากระตุ้นให้สินค้าในตลาดไอทีมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟน
“แม่ทัพใหญ่” จบบทสนทนาด้วยการประเมินผลประกอบไตรมาส 1/56 ว่า มีแนวโน้มประคองตัว ถือเป็นเรื่องปกติของช่วงนี้ที่อุตสาหกรรมไอทีมักตกอยู่ในอาการซบเซามากที่สุด ก่อนจะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปี
หุ้น SYNNEX เป็นหุ้นพื้นฐาน และจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ "เรายังเป็นที่ต้องการของกองทุน ต่างชาติ อยากให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจว่าบริษัทจะไม่ทำให้ผิดหวัง" เขาโปรยยาหอม
"เล่นหุ้น" สไตล์ออมเงินของหญิงเก่ง
มุมหนึ่ง “สุธิดา มงคลสุธี” คือ คนคุมการเงินใน SYNNEX แต่อีกฟากหนึ่งเธอ คือ "นักลงทุนมือสมัครเล่น" เจ้าของพอร์ตหลัก 20-30 ล้านบาท “ยี้” เล่าถึง“จุดเริ่มต้น”การลงทุนในตลาดหุ้นให้ฟังว่า ย้อนกลับไปสมัยเรียนปริญญาตรี เธอมีโอกาสได้ทดลองลงทุนในพอร์ตหุ้นจำลอง ซึ่งเป็นวิชาบังคับตอนเรียนอยู่ปี 3 เรียกได้ว่าทุกคนต้องเรียน ลงทุนไปสักพักรู้สึกไม่ทันใจ เลยไปชวนเพื่อนอีก 2 คน ไปเปิดพอร์ตลงทุนจริงๆ (ยิ้ม)
"จำความได้ว่า ช่วงเข้ามาลงทุนใหม่ๆ ตอนนั้นตลาดหุ้น “บูม” มาก เล่นแล้วได้ “กำไร” ทันที ตอนนั้นเป็นการลงทุนระยะสั้นออกแนวซื้อมาขายไป เพราะว่าปีนั้นเป็น “ปีทอง” ของตลาดหุ้น ช่วงนั้นเลือกซื้อหุ้น 3 ตัว จำแม่นได้แค่ตัวเดียว คือ หุ้น ธนาคารกรุงไทย (KTB) ช้อนตอนราคาหุ้นละ 10 บาท ขายกี่บาทจำไม่ได้ รู้เพียงว่าได้กำไร 100% ที่เหลือน่าจะเป็นหุ้นตัวเล็กๆ เน้นเล่นเก็งกำไร"
ปัจจุบันไม่ได้เล่นหุ้นเก็งกำไรแล้ว เน้นซื้อหุ้นพื้นฐานเป็นหลัก เธอว่า
ถามถึงหลักการลงทุน? ยี้เล่าว่า อันดับแรก ก่อนจะซื้อหุ้นแต่ละตัวต้องเข้าไปศึกษาธุรกิจของบริษัทนั้นๆก่อน จากนั้นค่อยไปดูว่าโบรกเกอร์ให้พื้นฐานหุ้นตัวนี้เท่าไร ที่สำคัญต้องไปดูวิสัยทัศน์ผู้บริหารว่า ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า แผนงานมีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่าลืมดูค่า P/E “ยิ่งต่ำยิ่งดี” เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ก็จะนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุน
“สุพันธุ์” เสริมว่า "เรื่องการลงทุนไม่ค่อยได้แนะนำเขาเท่าไหร่ ยี้จะลงทุนเอง เขาไม่ค่อยอยากให้พ่อรู้พอร์ตลงทุนของเขา (หัวเราะ) คนเป็นพ่อทำได้เพียงอยู่เบื้องหลังเท่านั้น เพราะตัวผมเองก็ลงทุนในตลาดหุ้นเหมือนกัน ที่ผ่านมามักบอกลูกเสมอว่า ถ้าแม่นในข้อมูลตัดสินใจลงทุนไปเลย”
“ปกติเป็นคนไม่ชอบมีเงินในบัญชีออมทรัพย์ แต่จะลงทุนในหุ้น หรือกระจายความเสี่ยงไปในกองทุนที่ตอนนี้มีอยู่ 3 กองทุน" สุธิดา ปิดท้ายสไตล์การลงทุน







