PM

จิ๋วแต่แจ๋ว
เริ่มต้นวิเคราะห์หุ้น PM ที่ราคาเป้าหมาย 13.00 บาท เราเริ่มต้นวิเคราะห์หุ้น PM ด้วยคำแนะนำ OUTPERFORM ที่ราคาเป้าหมาย 13.00 บาทในปี 2556 เท่ากับ PER 17.5X และ PBV 5.3X โดยเราชอบ PM เพราะแม้จะเป็นบริษัทขนาดเล็กในตลาดที่มีการแข่งขันสูง แต่ PM มีศักยภาพการทำกำไรสูงกว่าคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่า ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายอยู่ที่ PER 12.1X ในปี 2556 ซึ่งน่าสนใจเมื่อพิจารณาจากกำไรต่อหุ้นที่คาดจะเติบโตเฉลี่ยสูงถึง 21% CAGR ในสามปีข้างหน้า ประกอบกับรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหรือ 73% มาจากธุรกิจจัดจำหน่าย เราจึงมองว่า PM อาจซื้อขายที่ PER สูงขึ้นเนื่องจากลักษณะของธุรกิจหลักสามารถจัดอยู่ในกลุ่มพาณิชย์ที่มี PER สูงกว่ากลุ่มอาหารมาก นอกจากนี้บริษัทต้องตัดสินใจเรื่องหุ้นทุนซื้อคืน(TREASURY STOCK) ภายในปี 2557 ซึ่งจะกลายเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันราคาหุ้นต่อไป
บริษัทเล็กแต่มีศักยภาพการทำกำไรสูง : นอกจาก PM จะเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายปลาเส้นแบรนด์ "ทาโร" ด้วยส่วนแบ่งตลาด 76% บริษัทยังเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายรายการ ซึ่งการที่ PM สามารถเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีกแบบ MODERN TRADE และร้านค้าแบบดั้งเดิม รวมทั้งสามารถนำส่งสินค้าได้ตรงเวลาและให้ความใส่ใจมากกว่าผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ ทำให้บริษัทมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เราพบว่า PM เป็นผู้ประกอบการในธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีศักยภาพการทำกำไรสูงที่สุด โดยมีอัตรากำไรสุทธิสูงกว่าทั้ง BJC (สายธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค) LOXLEY TRADING และ DKSH แม้จะมียอดขายน้อยที่สุด
การบริโภคที่เพิ่มขึ้นและจำนวนร้านค้าปลีกเปิดโอกาสสำหรับการเติบโต : เราเชื่อว่ารายได้จากธุรกิจหลักของ PM คือธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค รวมถึงการขยายสาขาเชิงรุกของผู้ค้าปลีกทุกรูปแบบในประเทศ (HYPERMARKET, SUPERMARKET, ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า) ซึ่งช่องทางการขายและร้านค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นนี้น่าจะส่งผลให้ PM มีปริมาณการขายเติบโตไปพร้อมกัน
กำไรต่อหุ้นคาดเติบโต 18%, 29% และ 17% ในปี 2556-58 : หลังจาก PM รายงานอัตราการเติบโตของกำไรสูงถึง 42% YOY ในปี 2555 เราเชื่อว่าบริษัทจะยังมีกำไรสุทธิเติบโตอีก 18%, 29% และ 17% ในปี 2556-58 ตามลำดับ หรือเฉลี่ย 18% CAGR เพราะนอกจากยอดขายที่คาดจะเพิ่มขึ้น 13%, 13% และ 12% ในช่วงเวลาเดียวกัน จากทั้งยอดขายสินค้าของบริษัทเองและสินค้าที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายให้กับคู่ค้า รวมถึงคู่ค้าใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามา เราเชื่อว่า PM จะมีอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นหรือจาก 10.5% ในปี 2555 เป็น 12.1% ในปี 2558 เช่นกันจากประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้นและประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด นอกจากนี้หุ้นทุนซื้อคืนที่มีอยู่ (51.8 ล้านหุ้น ราคาต้นทุนเฉลี่ยหุ้นละ 2.5 บาท) จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับกระแสเงินสดและงบดุล ไม่ว่า PM จะตัดสินใจตัดจ่ายหรือขายหุ้นกลับเข้าตลาด ขณะที่เราตั้งสมมติฐานว่าบริษัทจะตัดจ่ายหุ้นทั้งหมดภายในปี 2557
พร้อมรับโอกาสทางธุรกิจจากการจัดตั้ง AEC : PM กำลังศึกษาแนวโน้มการทำธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทเองในประเทศแถบภูมิภาคอาเซียน และขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับคู่ค้า ซึ่งคาดจะได้ข้อสรุปภายในปี 2556 นอกจากนี้ เรายังเชื่อว่า PM มีโอกาสกลายเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนที่กำลังมองหาโอกาสเข้าสู่ตลาดไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากงบดุลที่แข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน 0.52X และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน 0.02X ในปี 2555 เราเชื่อว่า PM พร้อมรับโอกาสทางธุรกิจดังกล่าว
RISK
Risk : ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น จำนวนคู่ค้าที่ลดลงสุทธิ ต้นทุนวัตถุดิบและอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน
Price catalysts : การประกาศแผนการลงทุนใหม่







