'2 หนุ่มนักบริหาร' วิพากษ์หุ้นโกลเบล็กได้เวลา Take Off !!

อัพเดท อาณาโกลเบล็ก ผ่านสายตา 2 มือบริหารรุ่นใหม่ อัพ ธนพิศาล - "เซนต์" ธนาภุช คูหาเปรมกิจ 'Take Off' เซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่
“อีก 5 ปี (2555-2559) รายได้ธุรกิจหลักทรัพย์และค้าทองคำต้องแบ่งกันฝั่งละ 50% ธุรกิจค้าทองคำต้องมีรายได้แตะ 100,000 ล้านบาท” "วลีเด่น" ของ "ลูกชายคนสุดท้อง" ของเสี่ยโฮฬาร คูหาเปรมกิจ “อัพ” ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหลานชาย “เซนต์” ธราภุช คูหาเปรมกิจ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ แห่ง บล.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ (GBX)
“สองหนุ่มนักบริหาร” พร้อมใจประสานเสียงเรียกเรตติ้ง “แฟนคลับ” ในงานเปิดตัว 8 ขุนพลรุ่นใหม่ ของ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ และบล.โกลเบล็ก เมื่อปีที่ผ่านมา ไล่มาตั้งแต่ “ทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต” ขุนพลใหญ่ แห่ง บล.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ "เอส" กิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บล.โกลเบล็ก “ปุ๊น” จักรกริช เจริญเมธาชัย กรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก ธวัชชัย อัศวพรชัย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก สัญญา หาญพัฒนกิจพานิช รองผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก และ ธนธรณ์ ชัยมณี ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาดอิเล็กทรอนิกส์ บล.โกลเบล็ก
ครั้งนั้น “หนุ่มอัพ-เซนต์” ดีกรีปริญญาเศรษฐศาสตร์จากบอสตัน นั่งหัวโต๊ะวิเคราะห์เป้าหมายธุรกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้าให้ฟังแบบว่า หลายคนคงรับรู้ว่า คุณพ่อของผม ท่านเริ่มทำธุรกิจค้าทองคำ จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อปี 2483 ก่อนจะรุกธุรกิจในกรุงเทพฯ ด้วยการเปิดร้านขายทอง “ห้างทองจิ้น ไถ่เฮง" (แม่ไฉน) ย่านวรจักร
จากนั้นในปี 2537 ท่านก็มาตั้งบริษัท เกรทเทสท์ โกลด์ แอนด์ รีไฟเนอรี่ เพื่อดำเนินธุรกิจทองคำครบวงจร เรามีโรงงานสกัดทองคำ ตั้งอยู่นิคมอุตสาหกรรมอัญธานี ถามว่าประสบความสำเร็จมากไหม ที่ผ่านมามีชื่อคุณพ่อปรากฏชื่อเป็นผู้นำเข้าและส่งออกทองคำมากที่สุด เรียกว่าติดอันดับ 1 ใน 5 ของเมืองไทย
เมื่อ “ตระกูลคูหาเปรมกิจ” เริ่มต้นมาจาก “อาชีพ่อค้าทองคำ” เราก็ควรมีวิถีชีวิตเช่นนี้ต่อไป ฉะนั้น 5 ปี รายได้ค้าทองคำ 100,000 ล้านบาท ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องตั้งอยู่บน 3 สมมติฐาน คือ 1.วอลุ่มเทรดต้องอยู่วันละ 300-400 ล้านบาท 2.ราคาทองคำต้องยืน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และ 3.บัญชีนักลงทุนสถาบันและรายย่อยต้องอยู่ 50:50
ผ่านมา 6 เดือน พีอาร์สาวประจำตัว “ธนพิศาล-ธราภุช” สายด่วนถึง “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” บอกว่า บล.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ มีเรื่องราวใหม่ๆอยากเล่าให้ฟังเพียบเลยค่ะ ปลายสายขายของ “สุดฤทธิ์” อาคารซีอาร์ซี ออลซีซั่นส์เพลส ชั้น 12 คือ สถานที่ที่ใช้สนทนากับ “หนุ่มตระกูลคูหาเปรมกิจ”
“อัพ” หนุ่มมาดกวน ผู้คลุกคลีในอาณาจักรทองคำและธุรกิจหลักทรัพย์ มูลค่าหลายพันล้านบาท มาตั้งแต่อายุ 25 ปี นั่งไข่วห้างอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องทำงาน ขายฝันใหัฟังว่า ปีมะเส็ง (2556) ทุกคนจะเห็นเรา “Take Off” เพราะปีก่อนผมหมดเวลาไปกับการ “ล้างบ้าน” เรียกว่าทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม อะไรรกหูรกตาแลดูไม่ค่อยสะอาด เราจัดการหมดแล้ว ทำทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะเรื่องคน เราจัดการวางคนให้เหมาะกับงาน ถามว่าแล้วผมจะหันไปทำอะไร? หน้าที่ของ “ทายาทที่ดี” คือ การออกมานั่งมองหากลยุทธ์ใหม่ๆ นโยบายการแข่งขัน เพื่อเสริมให้โครงสร้างองค์กรแข็งแกร่ง
จากนี้รูปแบบการทำงานของ “โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์” จะเป็นอย่างไร? ที่ผ่านมาเราทำงานด้วยระบบครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่โอเคมาก ฉะนั้นจะยังคงทำต่อไป ข้อดีของระบบนี้ คือ ตัดสินใจรวดเร็วกว่าระบบทำงานแบบผู้บริหาร ผมสวมหมวกหลายใบ ฉะนั้นต้องทำตัวคล้ายๆ “ฟองน้ำ” รับอะไรมาแล้วต้องอมไว้ก่อนห้ามปล่อยหมด เปรียบได้กับการรับปัญหามาแล้วต้องค่อยๆแก้ไขให้ได้ วิธีทำงานของชายชื่อ “อัพ” คือ “การล้วงลูก” มันเป็นเรื่องจำเป็น เพราะนี่คือ ธุรกิจของครอบครัว
“ทายาทรุ่น3” เริ่มแจกแจงเรื่องด่วนที่ต้องเร่งปฏิบัติการณ์ในปี 2556 ให้ฟังว่า ผมขอเริ่มจากฝั่งของธุรกิจทางด้านหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ บล.โกลเบล็ก ในฐานะที่ผมเป็น “ซีอีโอ” อยากบอกว่า เมื่อก่อนเราตั้งเป้าอยากมีรายได้เติบโตเพียงปีละ10% แต่วันนี้เราจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว สถานการณ์มันเปลี่ยนไปเยอะ
คุณลองหันไปดูแล้วจะเห็นว่า ตอนนี้มูลค่าการซื้อขายตลาดหุ้นเมืองไทยเติบโตแบบผิดวินัยนี่ปาเข้าไปเฉลี่ยวันละ 50,000 ล้านบาทแล้ว เมื่อเทียบกับปี 2555 ที่มีมูลค่าเฉลี่ย 32,000 ล้านบาท วอลุ่มมากมายขนาดนี้ กำลังบ่งบอกว่า นี่คือ ปีทองของตลาดหลักทรัพย์ แต่บอกตรงๆผมเองก็ไม่มั่นว่า วอลุ่มเฉลี่ยจะยืนระดับนี้ได้ทั้งปีหรือไม่ แต่ถ้าคิดเพียงวอลุ่ม 32,000 ล้านบาท ก็ถือว่าขยายตัวมากแล้ว (ลากเสียงยาว)
“ธนพิศาล” เล่าว่า ภาพรวมธุรกิจของบมจ.โกลเบล็กปีนี้ เดิมตั้งเป้ารายได้เติบโต 10% แต่ด้วยปัจจุบันวอลุ่มตลาดเติบโตแบบผิดวินัย มองว่าด้วยวอลุ่มตลาดขนาดนี้อาจจะเป็นปีทองของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็ไม่สามารถให้ประมาณการได้ แต่คาดว่ากำไรจะโตมากกว่าปีก่อน ด้วยวอลุ่ม 32,000 ล้านบาท ไม่ได้คิดที่วอลุ่ม 50,000 ล้านบาท ไม่คิดว่าวอลุ่มจะโตมากขนาดนี้ และไม่คิดว่าวอลุ่มจะยืนที่ระดับนี้ได้ทั้งปีหรือเปล่า เราเลยตั้งเป้าที่วอลุ่มเดิมไปก่อน
ในเมื่อ “ตลาดหุ้นบูม” ขนาดนี้ ธุรกิจวาณิชธนกิจ (Investment Banking) ถือเป็นงานใหญ่ที่ต้องเร่งทำควบคู่กันไป อธิบายง่ายๆ เราต้องคลอดหุ้นไอพีโอเอาใจลูกค้ามากขึ้น เรียกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนก็ว่าได้ ที่ผ่านมาลูกค้าแอบบ่นจนลอยมาเข้าหูผมว่า “ทำไมเราไม่มีหุ้นไอพีโอมาขายบ้าง ไม่เหมือนโบรกเกอร์อื่นที่เขาเอามาขายกันเยอะแยะ” เรื่องนี้บอกตรงๆผมพยายามอยู่ ไม่ได้นิ่งนอนใจนะแฟนคลับ (ยิ้ม) หากไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในไตรมาส 2/2556 จะมีหุ้นไอพีโอออกมาให้นักลงทุนอิ่มใจสัก 1 ตัว
“เซนต์” ชายหนุ่มมาดนิ่ง” วัย 29 ปี หลังนั่งเงียบอยู่นาน พูดเสริมว่า ที่ผ่านมาเราเพิ่มคนเข้าไปในทีมมากขึ้น และยังพร้อมจะใส่เข้าไปอีก ภายในปี 2556 ทุกคนอาจเห็นเราขายหุ้นไอพีโอ 2 บริษัท แบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสปา หากจัดการเรื่องการเงินของลูกค้าเรียบร้อยไม่น่าเกินไตรมาส 3/2556 น่าจะเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกตลาดหุ้นได้ ถามว่าพื้นฐานของลูกค้า 2 ราย เป็นอย่างไร คงบอกได้เพียงว่า เป็นบริษัทที่ดีมีความน่าสนใจ ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง
“หากปีนี้เราไม่มีหุ้นไอพีโอมีหวังโดนลูกค่าบ่นยับแถมหนักขึ้นกว่าเดิมแน่นอน อย่างปีก่อนเราก็เข้าไปร่วมจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอ 2 ตัว ส่วนปี 2556 ก็ได้ขายหุ้น ยูเรกา ดีไซน์ (EUREKA) อย่างน้อยเราก็ทำให้ลูกค้ารู้ว่า เราพยายามแล้วทุกวิถีทาง วันหนึ่งเราจะเหยียบเข้ามาในแวดวง IB เต็มตัว รักแล้วรอหน่อย”
ซีอีโอ “อัพ” แทรกว่า เราอยากเห็นมาร์เก็ตแชร์ในส่วนของธุรกิจหลักทรพย์เติบโตขึ้น ตอนผมเข้ามานั่งทำงานวอลุ่มซื้อขายอยู่ที่ 2-2.1% ผ่านมาปลายปี 2555 น่าจะอยู่ 2.5% หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท เทียบกับวอลุ่มของตลาดหุ้นไทยที่อยู่เฉลี่ย 30,000 ล้านบาท ถามว่าสิ้นปี 2556 หน้าตาจะเป็นอย่างไร ตัวเลข 3% ทุกคนน่าจะได้เห็น ตอนนี้เรามีวอลุ่มประมาณ 3,600-4,000 ล้านบาท
วันนี้เราพยายามสร้าง “จุดเด่น” เพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาเปิดพอร์ตกับเรา อาทิ เราจะเป็นโบรกเกอร์เจ้าเดียวในตลาดที่มีการซื้อขายทองคำ และตลาดซื้อขายอนุพันธ์ล่วงหน้า (TFEX) นี่คือ ความถนัดของเรา หลายคนสงสัย เหตุใดสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ของ TFEX ถึงลงมาอยู่อันดับ 5 จากอันดับ 1 ทั้งๆที่วอลุ่มซื้อขายเท่าเดิม หากเข้าไปดูเนื้อในจะเห็นว่า ตลาดโตขึ้นมาก และหลายๆโบรกเกอร์ ก็มีระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการส่งคำสั่งซื้อขาย ทำให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งเราเองก็จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน
ถามว่า ด้วยเงินทุนจำนวนจำกัดเพียง 900 ล้านบาท ถือว่าเป็น “จุดอ่อน” หรือไม่ ก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนนะ แต่ก็คิดได้คนละแบบ ในแบบของผมมองว่าบริษัทสามารถบริหารงานได้ทันเวลาสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอนโยบายจากบริษัทแม่ที่เป็นแบงก์ แต่ก็มีข้อเสีย คือ มีเงินทุนจำนวนจำกัด แต่เราโชคดีตรงที่มีเครื่องมือทางการเงินที่สามารถเพิ่มเงินทุนได้
“การเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนอีกเรื่อง คือ การลดค่าใช้จ่ายในส่วนของสำนักงาน เช่น การตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของใบคอนเฟิร์มหุ้นในส่วนลูกค้าที่ไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว ซึ่งการตัดส่วนนี้คาดว่าจะลดค่าใช้จ่ายได้พอควร และจะหันมากระตุ้นลูกค้าเดิมให้มาซื้อขายกับเรามากขึ้น ซึ่งการไปกระตุ้นลูกค้าใหม่ให้มาเทรดกับเราคงจะทำได้ยาก”
ถามถึงธุรกิจค้าทองคำ “เซนต์” รับอาสาเล่าเรื่องนี้ว่า ธุรกิจซื้อขายทองคำแท่งถือเป็นงานถนัดของผมเพราะคลุกคลีมาตั้งแต่เด็กๆ เมื่อได้เข้ามารับหน้าที่นี้ ก็มีเป้าหมายว่าจะทำให้เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างปี 2556 ผมต้องการมีรายได้จากการค้าทองคำประมาณ 30,000 ล้านบาท จากปี 2555 ที่อยู่ระดับ 26,000 ล้านบาท เราจะขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 30% หรือประมาณ 900 ราย จากปัจจุบันที่มีลูกค้า 3,000 บัญชี เน้นกลุ่มแพทย์เราจะออกไปจัดงานสัมมนาให้ความรู้
กลยุทธ์ของบริษัท คือ ออกไปหาลูกค้ามากขึ้น ธุรกิจนี้มาร์จิ้นต่ำต้องทำใจ ฉะนั้นการขยายฐานลูกค้าช่วยเสริมเงินในกระเป๋ามากขึ้นแน่นอน ถามว่าวันนี้มาร์จิ้นธุรกิจค้าทองคำถึง 1% หรือยัง? เขาสวนกลับทันที “ยังครับ” ธรรมชาติของธุรกิจทองคำ เปรียบเหมือนส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ของธุรกิจปิโตรเคมีที่มีสเปรดแคบ ธุรกิจทองคำยิ่งแคบกว่า เพราะตัวแปรมากมาย อาทิ ค่าเงิน
“ตลาดหุ้นยิ่งคึกคัก ตลาดทองคำยิ่งเงียบ แต่ถ้าเราพยายามบอกลูกค้าถึงการออมทองคำน่าจะเป็นจุดขายที่ดีในภาวะเช่นนี้ เพราะทองถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า เราต้องพยายามเปลี่ยนวิธีคิดของลูกค้า”
“สองหนุ่มแห่งตระกูลคูหาเปรมกิจ” ทิ้งท้ายว่า หากย้อนกลับไปดูผลตอบแทนจากการออมทองคำ คุณจะเห็นว่าให้ “ความคุ้มค่า” ดีกว่าฝากนำเงินไปฝากแบงก์ การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน จงเลือกหุ้นใหญ่พื้นฐานดี แม้หุ้นตัวนั้นจะมีอัพไซด์น้อย แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่า หุ้นขนาดเล็กที่เวลาปรับตัวลดลงจะลึกถึง 10-20% หากคิดจะรวยเร็ว ความเสี่ยงก็จะสูงตาม
หากนักลงทุนรายใดไม่มีปัญหาเรื่องเวลาการลงทุนจงเลือกลงทุนระยะยาวในทองคำ และหุ้นปันผล ปีนี้เป็น “ปีทอง” ของตลาดหุ้น นักลงทุนมีโอกาสขยับพอร์ตลงทุนให้อยู่ในสัดส่วน 30-40% ส่วนที่เหลือก็กระจายความเสี่ยงไปในทองคำ พันธบัตร และอย่าลืมเก็บเป็นเงินสดด้วย
สัญญาณดัชนี 1,700 จุด มาแล้ว...
“อัพ” ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ทำนายตลาดหุ้นปี 2556 ว่า หลายสำนักที่ออกมาทำนายว่า ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปยืนระดับ 1,700 จุด ถ้ามองจากสถานการณ์ปัจจุบันที่กระแสเงินจากต่างประเทศยังไหลเข้ามาจำนวน “มหาศาล” ผมเองคงจะไม่กล้าไปหักปากกาเซียนทั้งหลายว่าดัชนีจะไปไม่ถึง
มุมของผมมองว่า หุ้นกลุ่มธนาคารจะมาเห็นสัญญาณตั้งแต่ต้นปี 2555 ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเยอะมาก กลุ่มพลังงานก็จะมาเช่นกัน โดยเฉพาะ หุ้น ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กลุ่มอาหารก็น่าสนใจ แม้ว่าส่งออกจะโดนผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น อาทิ หุ้น ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ (TUF) จริงๆ หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีมาก ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันในอัตราสูง ราคาเป้าหมาย 70 บาทต่อหุ้น น่าจะได้เห็น
ถามถึงการลงทุนส่วนตัว “อัพ” บอกว่า นอกจากจะเทเวลาส่วนใหญ่ไปเลี้ยงลูกชายวัย 1 ขวบแล้ว ผมยังชอบลงทุนระยะยาว ส่วนใหญ่จะทำประกันชีวิต และลงทุนทองคำ 10-20 บาท ถือเป็นการลงทุนที่ไม่เยอะ ผมมีค่าใช้จ่ายมาก เงินทั้งหมดต้องเอาไปเลี้ยงลูก เดี๋ยวจะต้องมีอีกหลายคน (ไม่รู้จะดูแลยังไง) ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่ซื้อเพื่อรอรับเงินปันผลเน้นซื้อหุ้นต่างประเทศ หุ้นในเมืองไทยไม่ค่อยสนใจด้วยจรรยาบรรณโบรกเกอร์
“เซนต์” ผมลงทุนทองคำบ้างแต่ไม่เยอะ ส่วนหุ้นไม่ได้ลงทุนเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีเวลา แต่เคยลงทุนหุ้นช่วงอายุ 18-19 ปี พอโตขึ้นมาก็ไม่ได้เข้าไปลงทุนอีก ส่วนใหญ่จะลงทุนในกองทุนรวม เข้าไปลงทุนแต่ละกองไม่เยอะ ผมเงินน้อย (หัวเราะ) เรียกว่าลงทุนตามเงินเดือนแล้วกัน หากจะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น ผมก็จะเลือกหุ้นที่มีคุณค่า ถือด้วยความใส่ใจในคุณค่าของหุ้น จะไม่ลงทุนในหุ้นหวือหวาโอกาสขาดทุนจะลดลงเรื่อยๆ
ก่อนจะแยกย้ายกันไปทำภารกิจ เขา แนะนำข้อสังเกตเกี่ยวกับราคาทองคำว่า ราคาจะขึ้นหรือลงมี 4 ปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย ข้อ1.ให้ดูเงินดอลลาร์ ถ้าดอลลาร์อ่อนค่าราคาทองคำจะหักหัว "ขึ้น" ตรงข้ามหากแข็งค่าราคาจะ "ลง" 2. พิจารณาอัตราเงินเฟ้อ 3.อัตราดอกเบี้ย สุดท้าย คือ ดูภาวะสงคราม ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อทิศทางราคาทองคำ
ประวัติคร่าวๆของ “หนุ่มเซนต์” มีพี่น้อง 3 คน เขาเป็นลูกชายคนโต ส่วนคนกลางชื่อ "ฮิม อิสริยะ คูหาเปรมกิจ" ดูแล บริษัท รอยัล มอเตอร์ส จำกัด จำหน่ายรถยนต์หรู (มีข่าวกับสาวๆในแวดวงไฮโซบ่อยๆ) ส่วนคนเล็กปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาในมหาวิทยาลัยบอสตัน







