เกียรตินาคินลั่น2ปีดันสินเชื่อธุรกิจโต35%

เกียรตินาคินลั่น2ปีดันสินเชื่อธุรกิจโต35%

เกียรตินาคินตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อธุรกิจเป็น 35% ช่วง 2 ปีหน้า ย้ำแบงก์ให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยง ทำพอร์ตสินเชื่อหลากหลาย

นายศราวุธ จารุจินดา ประธานสายสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกลยุทธ์ในการขยายสินเชื่อธุรกิจของธนาคาร (KK BIZ) ว่า ในปีนี้ธนาคารจะให้ความสำคัญกับการกระจายพอร์ตสินเชื่อให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวสินเชื่อ โดยปัจจุบันธนาคารมีพอร์ตสินเชื่อของสินเชื่อธุรกิจอยู่ประมาณ 39,306 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ของสินเชื่อรวม ที่เหลืออีก 75% มาจากสินเชื่อเช่าซื้อ แต่ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมาย ทำสินเชื่อธุรกิจให้สูงกว่าการขยายตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ โดยตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 34%

ทั้งนี้ธนาคารเกียรตินาคินตั้งเป้าหมายปีนี้ จะขยายสินเชื่อรวมที่ระดับ 19% เทียบจากปีก่อนที่ขยายตัว 24.5%แบ่งเป็นการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยที่ระดับ 16% ลดลงจากปีก่อนที่ 25.9% และสินเชื่อธุรกิจเติบโต 34% สูงขึ้นกว่าปี 2555 ที่เติบโต 28.9%

นายศราวุธ กล่าวว่า อัตราการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจที่สูงกว่าสินเชื่อเช่าซื้อ ทำให้สัดส่วนสินเชื่อในอนาคตจะต้องเปลี่ยนไป โดยตั้งเป้าหมายว่าสินเชื่อธุรกิจ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในระยะ 2-3 ปีจากนี้ ซึ่งการที่ธนาคารได้ควบรวมกิจการกับบริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) ยังช่วยให้ทั้ง 2 องค์กรสามารถใช้ศักยภาพจากฐานลูกค้าที่มีในการส่งต่อลูกค้าระหว่างกันมากขึ้น เช่น การยกระดับลูกค้ารายกลางของธนาคารให้เป็นลูกค้ารายใหญ่โดยใช้งานด้านวาณิชธนกิจเข้ามาเสริม หรือการเข้าไปให้บริการฐานลูกค้าตลาดทุนของภัทรที่มีความต้องการใช้สินเชื่อเพิ่มเติม โดยคาดว่ามูลค่าธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการผนึกกำลังของธุรกิจในปีนี้ จะมีประมาณ 2-3 พันล้านบาท

ขณะเดียวกันในขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างศึกษากลุ่มธุรกิจอื่น ที่มีศักยภาพในการขยายสินเชื่อเพิ่มเติมจากเดิมที่สินเชื่อธุรกิจของธนาคารจะมุ่งเน้นอยู่ใน 5 ธุรกิจหลักคือ สินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อธุรกิจอพาร์ตเมนต์ สินเชื่อธุรกิจขนส่ง สินเชื่อธุรกิจฟลอร์แพลน หรือสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ใหม่ และเต็นท์รถมือสอง และสินเชื่อธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่ธนาคารจะเข้าไปให้ความสำคัญ ยังคงมุ่งเน้นลูกค้าในกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) แต่ต้องเป็นธุรกิจธนาคารมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือธุรกิจที่ธนาคารสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าได้ โดยขณะนี้ธุรกิจที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือธุรกิจที่มีความต่อเนื่องกับธุรกิจเดิมที่ธนาคารมีอยู่ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่สามารถเชื่อมโยงกับลูกค้าในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ธนาคารมีความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อให้อุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ราวกลางปีนี้