ติดปีก “เคเบิ้ลบ้านนอก” เขย่าบัลลังก์ “ทรูวิชั่นส์”

ติดปีก “เคเบิ้ลบ้านนอก” 
เขย่าบัลลังก์ “ทรูวิชั่นส์”

วงเงิน1.4หมื่นล.ที่แบงก์กรุงเทพ“ติดปีก”ให้“ซีทีเอช”บอกถึงการลั่นกลองรบในธุรกิจที่มีมูลค่ากว่าแสนล.ทว่าซีทีเอชขอเป็นแค่เบอร์2 แต่ใครจะเชื่อ !

สร้างความฮือฮาให้กับแวดวงธุรกิจสื่อโทรทัศน์อย่างมาก หลังสิ้นสุดเสียงระฆังการประมูล ลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือ English Premier League (EPL) 3 ฤดูกาล ในวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อชื่อของ "ซีทีเอช" หรือบริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คือผู้ที่ชนะการประมูล มีชัยเหนือเจ้าของลิขสิทธิ์เดิมอย่างทรูวิชั่นส์ ที่มั่นใจเอามากๆว่าจะชนะ และหน้าใหม่ที่โดดเข้าร่วมประมูลอย่างแกรมมี่ และอาร์เอส

โดยเคเบิ้ลบ้านนอกอย่าง ซีทีเอช เทงบบก้อนโตเป็นประวัติการณ์ถึง 1 หมื่นล้านบาท (สูงกว่าทรูวิชั่นส์ เคยประมูลได้ลิขสิทธิ์ครั้งก่อนถึง 5 เท่าตัว) คว้า "คิงส์ ออฟ คอนเทนต์" มาครองฤดูกาล ตั้งแต่ฤดูกาล 2013-14, 2014-15 และ 2015-16 รวม 380 แมตช์ ไม่เฉพาะในไทย แต่ยังเลยไปถึงเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ลาว และกัมพูชา

กับต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ที่สูงลิ่ว !! หลายคนประเมินว่าเป็นเรื่อง “ยาก” ที่ซีทีเอช จะปั้นรายได้คืนทุนที่ลงไปในหลักหมื่นล้านบาท ได้โดยง่าย ไหนจะจ่ายค่าประมูล EPL ไหนจะลงทุนวางเครือข่ายเคเบิลทีวีเพื่อขยายฐานผู้ชมอีกเป็นจำนวนมาก

ที่ผ่านมาทนายนักช้อป เศรษฐีหุ้นอันดับท็อปไฟร์ของเมืองไทย (จากการจัดอันดับเศรษฐีหุ้นในปี 2554 ของสารการเงินการธนาคารร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยถือครองหุ้นสูงสุดที่มูลค่า 11,804.14 ล้านบาท) อย่าง “วิชัย ทองแตง” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เคเบิ้ลไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ยังลุยหาเงิน “ลงทุน” ก้อนโตหลักหมื่นล้าน เพื่อขับเคลื่อนแผนธุรกิจของซีทีเอชให้เดินไปข้างหน้า ตามแผนเสริมแกร่ง

บนเป้าหมายผลักดัน “เคเบิ้ลบ้านนอก” คำที่วิชัยเรียกซีทีเอชแบบนั้น ให้ยกหัวขบวนมาอยู่ “แถวหน้า” ของธุรกิจเคเบิลทีวีเมืองไทย ให้ได้ !

“2 หมื่นล้านบาท” คือวงเงินก้อนแรกที่ “วิชัย” หมายมั่นจะลงทุนวางโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติกให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 77 จังหวัด 990 อำเภอ ทั่วประเทศ ทว่าสุดท้ายงบกลับ“บานปลาย” ไปถึง 2.5 หมื่นล้านบาท

เวลาผ่านไปร่วม 2 เดือนนับจากคว้าชัยชนะครอบครองลิขสิทธิ์ EPL ถึงเวลาที่ซีทีเอชจะต้องลงนามเซ็นสัญญา “จ่าย” เงินงวดแรกให้ EPL ในวันที่ 31 มกราคมนี้ เป็นจังหวะที่วิชัย ถือเอาฤกษ์ดีวันที่ 8 มกราคม 2556 ลงนามสัญญากู้เงินก้อนแรก วงเงินมากถึง 1.4 หมื่นล้านบาท ระหว่างซีทีเอช กับแบงก์พี่เบิ้ม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

โดยวิชัยระบุว่า เขาใช้ชื่อและบ่าสองข้างไปวางค้ำประกัน พร้อมด้วยเครดิตของผู้ถือหุ้นในซีทีเอชสัดส่วน 25 % อย่าง “ยิ่งลักษณ์ วัชรพล” ผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บุตรสาวคนโต ของป๊ะ “กำพล วัชรพล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กับคุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ประธานกรรมการ บริษัทวัชรพล จำกัด

(ส่วนหุ้นที่เหลือในซีทีเอช เป็นการถือในนามส่วนตัววิชัย 25% และกลุ่มเคเบิลท้องถิ่นอีก 30% หุ้นที่เหลืออีก 20% วิชัยกำลังมองหาพันธมิตรร่วมทุน)

เวลาประมาณ 14.00 น. ของวันที่ 8 มกราคม ณ ชั้น 28 ของธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม คลาคล่ำไปด้วยบรรดาสื่อมวลชน แขกเหรื่อรวมถึงพนักงานแบงก์ที่ในพิธีลงนามสัญญาเงินกู้ โดยงานนี้แบงก์กรุงเทพลงทุนปล่อยสินเชื่อให้เพียงรายเดียว สะท้อนถึง “คอนเนคชั่น” ที่แน่นปึ้กของผู้ถือหุ้นซีทีเอช

45 นาทีแห่งการรอคอยสิ้นสุดลง เมื่อบรรดาผู้บริหารระดับบิ๊กของทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งธนาคารกรุงเทพ ที่งานนี้เจ้าสัวชาตรี โสภณพนิช ประธานกรรมการแบงก์กรุงเทพฯ ลงมารับแขกสำคัญด้วยตัวเอง พร้อมด้วยบุตรชาย โทนี่ -ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ฯลฯ

ฝั่งซีทีเอช นำทัพโดย วิชัย ขนาบข้างด้วย-จูเนียร์ วัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ ซีทีเอช ที่ควงคู่มาพร้อมกับผู้เป็นแม่ ยิ่งลักษณ์ วัชรพล ผู้ถือหุ้นใหญ่อีกราย และขาดไม่ได้กุนซืออย่าง กฤษณัน งามผาติพงศ์ ซีอีโอ ของซีทีเอช

บรรยากาศงานเซ็นสัญญามีขึ้นอย่างเรียบ โดยวิชัย โปรยยาหอมว่า “งานนี้ถือเป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของซีทีเอช เป็นก้าวย่างสำคัญของเคเบิลทั่วประเทศ กับเงินกู้ 1.4 หมื่นล้านบาท จะเดินไปอย่างระมัดระวัง ควบคู่กับความมั่นคงของธนาคาร วันนี้ซีทีเอชได้รับแรงหนุนที่ยิ่งใหญ่จากธนาคารกรุงเทพ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” จากนี้เคเบิ้ลบ้านนอกจะก้าวมายืนอยู่แถวหน้า”

วิชัย ยังบอกด้วยว่า การได้รับสินเชื่อในครั้งนี้เหมือนเป็นการ “ติดปีก” ให้เคเบิ้ลท้องถิ่นกว่า 1,000 แห่ง ขยายเครือข่ายเข้าถึงผู้บริโภคทุกครัวเรือนมากขึ้นด้วย จบคำพูดของวิชัย ลอบเห็น “รอยยิ้ม” ที่มุมปากของเสือยิ้มยากอย่างโทนี่ -ชาติศิริ ที่น่าจะชอบใจคำว่า “ติดปีก” ของวิชัย

ไม่เท่านั้น อีกความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญหลังการลงนาม นั่นคือ “การย่นระยะเวลา” ของการเกิด บรอดแบรนด์แห่งชาติจาก 10 ปี เหลือเพียง 1 ปีด้วย เพราะเม็ดเงินก้อนโตดังกล่าว จะถูกนำไปใช้ดำเนินการใน 3 ส่วน คือ ระบบวางเครือข่ายไฟเบอร์ออฟติกที่คืบหน้าแล้ว 80% รวมทั้งใช้เพื่อดำเนินการทั่วไป ที่สำคัญจะถูกนำไปจ่ายค่าคิงส์ ออฟ คอนเทนต์อย่าง EPL ตามดีลในปลายเดือนมกราคม

ส่วนการขับเคลื่อนซีทีเอชในเชิงรุกของ “วิชัย” ที่อาจทำให้หลายคนกังขาถึงรายได้และกำไรที่จะได้กลับมา เมื่อเทียบกับค่าสิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด EPL ที่แพงระยับ วิชัยบอกอย่างมุ่งมั่นว่า..

“ผมมั่นใจว่าลิขสิทธิ์ EPL จะคืนทุนภายใน 3 ปี (2558) และมีกำไรแน่นอน ! ” หลังจากนั้นยังมีแผนนำซีทีเอช เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

โดยกลจักรที่จะผลักดันให้ซีทีเอชมีรายได้และกำไร จะมาจาก “กลยุทธ์และการจัดกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบใหม่ๆ” ที่ EPLจะเข็นออกมา ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่า EPL จะยังคงเดินหน้าขยายฐาน “คอบอล” พรีเมียร์ลีกไปทั่วโลกอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะต้องยอมรับว่าที่ผ่านมา EPL ยังคงได้รับความสนใจจากทั่วโลก นั่นเป็นเพราะ “คิงส์ ออฟ คอนเทนต์” ที่มีผู้ชมจากทั่วโลกสูงถึง 4,700 ล้านราย (ฤดูกาลปี 2010-2011) ทำให้การเข้าร่วมประมูลการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษมีตัวเลขการประมูลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผนวกกับจุดแข็งของซีทีเอช ในการใช้คอนเนคชั่นนำไปสู่การ “สรรหาคอนเทนต์ชั้นดี” มาป้อนตลาดและผู้ชม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางมากขึ้น วิชัยเชื่อเช่นนั้น

ดังนั้น กลยุทธ์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนซีทีเอชเดินไปสู่จุด “คุ้มทุน” ของซีทีเอช น่าจะมาจากคำ 2 คำ นั่นคือ คอนเทนต์ กับ คอนเนคชั่น

โดยซีทีเอชได้ควักเงินลงทุนเพื่อจัดหาคอนเทนต์และให้บริการช่องรายการเฉลี่ย 1,000 ล้านบาทต่อปี ระหว่างนี้ยังได้เพิ่มจำนวนช่องรายการเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นสมาชิกจาก 16 ช่อง เป็น 120 ช่อง และจะเป็น 500 ช่องในอีก 2-3 ปีจากนี้ ซึ่งตั้งเป้าแบ่งสัดส่วนรายการจากการซื้อลิขสิทธิ์หรือคอนเทนต์ จากรายการในต่างประเทศ 30% และรายการในประเทศ 70% นอกจากนี้ซีทีเอชจะผลิตคอนเทนต์ของตัวเองเพื่อออกอากาศไม่เกิน15 ช่องรายการอีกด้วย

ปลายปี 2555 อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของการเสริมพลังด้านคอนเทนต์ คือการผนึกเครือข่าย PCCW ของ “ลี กา ชิง” อภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของฮ่องกง เพื่อซื้อรายการ now TV มาเป็นกองหนุนในการออกอากาศ โดยช่องรายการของ now TV ที่จะออกอากาศบนซีทีเอช 3 ช่อง ได้แก่ now International ช่องวาไรตี้ ที่จะเต็มไปด้วยรายการทำอาหาร ไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยว รวมทั้งบันเทิงอื่นๆที่ถ่ายทำในระบบเอชดี, now Variety จะเป็นรายการที่นำเสนอการสัมภาษณ์ดาราดังทั่วเอเชีย และ now Drama ช่องละคร ซีรีส์ จากจีนและฮ่องกง ที่เขามั่นใจว่าจะ “ฮิตติดลมบน” ไม่แพ้ซีรี่ส์เกาหลี

สำหรับเม็ดเงินที่จะใช้ในรุกซื้อคอนเทนต์จะมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน เขาบอกว่า ไม่เป็นปัญหาสำหรับมีเงินอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าการหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากรายอื่นๆ ได้อย่างไร ไม่เคยตั้งงบประมาณหรืองบลงทุนในส่วนนี้ไว้เลย
ดูเหมือนเศรษฐีหุ้นรายนี้ จะไม่ห่วงเรื่องเงินลงทุนเอาซะเลย !

“เงินทุนไม่เป็นปัญหาสำหรับเราแน่นอน รู้ไหมว่าทำไม ?” เขาถามเองตอบเอง ก่อนจะบอกว่า "ใช้เครดิตส่วนตัวค้ำประกัน ชื่อของ วิชัย ทองแตง และชื่อของยิ่งลักษณ์ วัชรพล ไม่ใช่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของเรานะ” เขาย้ำ

กับเป้าหมาย “แถวหน้า” ธุรกิจเคเบิลทีวีเมืองไทย ถามว่า อยากเป็น “เบอร์1” ในธุรกิจนี้หรือไม่ ?

คำตอบที่ได้รับจากปากวิชัย คือ เขาไม่ขอเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจนี้ แต่กลับอยากเป็น “เบอร์ 2” มากกว่า

“ผมขอเป็นแค่เบอร์ 2 ดีกว่า จะได้ไม่มีใครมาเกลียดผม !!!” เขาพูดติดตลก ก่อนจะบอกแบบจริงจังต่อว่า อยากให้เคเบิ้ลทีวีท้องถิ่นลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแรง ไม่คิดเอาชนะหรือเป็นเจ้าตลาด ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

“ไม่ใช่ประกาศอหังการ เพราะนั่นไม่ใช่ผม !”

แม้จะประกาศชัดว่าจะไม่ขอเป็นเบอร์ 1 แต่เมื่อพิจารณาจากฐานผู้ชมเคเบิลทีวี กลับหายใจรดต้นคอเจ้าตลาดอย่างทรูวิชั่นส์อย่างยิ่ง โดยภายใน 3 ปี เขาหมายมั่นปั้นซีทีเอชให้มีฐานผสมาชิกเพิ่มเป็น 7 ล้านครัวเรือน และขยับไปถึง 10 ล้านครัวเรือนในอนาคต จากปัจจุบันซีทีเอชมีฐานสมาชิกราว 2 ล้านครัวเรือน และสิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.5 ล้านครัวเรือน ขณะที่ปัจจุบันทรูวิชั่นส์มีฐานสมาชิกอยู่ที่ 2.5 ล้านคน และมีแผนจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคนในอนาคต

นอกจากนี้ หากพิจารณาจากกลยุทธ์ของซีทีเอช ที่ลงทุนเป็นหมื่นล้านเพื่อคว้าคิงส์ ออฟ คอนเทนต์ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาไว้ในมือแล้ว มีหรือ ? ที่จะไม่ต้องการเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจนี้ หลายคนกังขา

เพราะสิ่งที่เย้ายวนผู้ประกอบการให้โดดเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ ย่อมหนีไม่พ้นมูลค่าทางการตลาดธุรกิจเคเบิลทีวีที่สูงถึง “หลักแสนล้านบาท” ในปัจจุบัน

ถือเป็นเหมือน “ขุมทรัพย์” ที่ “ล่อ” ใจนักลงทุนอย่างยิ่ง !!!

วันนี้ผู้บริโภคชาวไทยมีการรับชมทีวีทั่วประเทศราว 22 ล้านครัวเรือน โดยทีวีดาวเทียม เป็นเค้กก้อนใหญ่สัดส่วน 11 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 50% ของผู้ชม ที่เหลือเป็นเคเบิ้ลทีวีและฟรีทีวีที่ออกอากาศผ่านเสาก้างปลากลุ่มละ 5.5 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 25% เท่ากัน

โดยแนวโน้มในอนาคต การรับชมทีวีจะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเสาก้างปลาที่จะลดน้อยถอยลงและหายไปจากตลาด เพราะประเทศไทยเริ่มมีแพลตฟอร์มการรับชมทีวีแบบใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น ทีวีดิจิทัล นอกเหนือจากเคเบิล หรือทีวีดาวเทียม

อนาคต จึงเป็นคำตอบของการเติบโตในธุรกิจเคเบิลทีวี

โดยในขณะนี้ซีทีเอช เริ่มจัดทัพแพ็คเกจค่าสมาชิก 3 แพ็คเกจ แต่ซีทีเอชจะทยอยปล่อยออกมาทีละล็อต แพ็คเกจแรกเห็นภาพชัดเจนว่าจะเคาะราคาค่าสมาชิกอยู่ที่ 399 บาทต่อเดือน แพ็คเกจที่ 2 จะรวมคอนเทนต์การรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษด้วย ราคาไม่เกิน 1,000 ต่อเดือน ส่วนแพ็คเกจที่ 3 จะพ่วงด้วยอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งยังไม่เคาะราคา

แม้ว่าที่ผ่านมามีกระแสข่าวการ “คัดค้าน” การจ่ายค่าสมาชิก หรือซื้อแพ็คเกจเคเบิลทีวีของซีทีเอช จากผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่น แต่วิชัย บอกว่า สมาชิกเคเบิลทีวีท้องถิ่นราว 50% ก็ยังเดินสายเข้ามาหาซีทีเอชแบบหัวบันไดไม่แห้ง

อีกก้าวหนึ่งที่จะได้เห็นจากการเคลื่อนทัพของซีทีเอช นั่นคือการ “รีแบรนด์” เปลี่ยนโลโก้ซีทีเอช ซึ่งเขาบอกว่าเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะเห็นทิศทางของบริษัทอีกขั้น “แต่เรื่องที่จะไม่ยอมเปลี่ยนคือชื่อของซีทีเอช เพราะมันดังไปแล้ว” พูดจบก็หัวเราะ

และแม้ว่าปัจจุบันซีทีเอชยังแบกภาระขาดทุนสะสมราว 300 ล้านบาท แต่วิชัย ไม่หวั่นกับเงินก้อนนี้มากนัก และย้ำหนักแน่นว่าปีนี้ โดยคาดหวังรายได้ในอนาคตจะมาหักลบกลบหนี้จนเกลี้ยงไม่พอยังมีกำไรอีก

เงินกู้วงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาท กับความฝันของ “วิชัย” กลายเป็น “จุดเริ่มต้น” ของการุกธุรกิจเคเบิลทีวีครั้งสำคัญ เขากับพันธมิตรอย่างในตระกูลวัชรพล ที่มีแผนรุกสื่อดิจิทัลชัดเจน อาจจะกำลังจิบแชมเปญฉลองความยินดี

ทว่าเส้นทางเคเบิ้ลทีวีเบอร์ 2 ที่จะก้าวเดินไปนั้น ยังต้องเผชิญการแข่งขันอย่างหนัก โดยเฉพาะจากบิ๊ก เพลเยอร์อย่างทรูวิชั่นส์ ที่คงไม่ยอมให้เคเบิ้ลบ้านนอก มาเขย่าบัลลังก์เคเบิ้ลไฮโซ หลังประมาทคู่แข่ง จนพ่ายการประมูลพรีเมียร์ลีกอังกฤษไปอย่างที่ ซูเปอร์ซีอีโอ ธนินท์ เจียรวนนท์ แห่งซี.พี. (เศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย) ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังบ่น “เสียดาย”
-----------------------------------------
เบื้องหลังเงินกู้หมื่นล.

ดีลเงินกู้1.4 หมื่นล้านบาท ระหว่างธนาคารกรุงเทพ กับซีทีเอชที่รวดเร็ว ฉับไว เปิดศักราชรับปีงูเล็ก เกิดขึ้นได้ก็ด้วยความสัมพันธ์อันยาวนาน ตั้งแต่ ป๊ะ กำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กับ วิระ รมยะรูป อดีตกรรมการ ธนาคาร (ซึ่งทั้งสองล่วงลับไปแล้ว)

ความสัมพันธ์อันยาวนานตั้งแต่รุ่นบุกเบิกของสององค์กร ทั้งส่วนตัวและการงาน ยังส่งต่อมาถึงคนรุ่นหลัง อีกทั้ง จูเนียร์ วัชร วัชรพล ยังมีความสนิทสนมกับเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคาร ทั้งหมดนี้ ทำให้การขออนุมัติสินเชื่อขนาดมโหฬาร ต้องใช้คำว่า “ทางสะดวก”

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างวิชัย ทองแตง กับแบงก์กรุงเทพ ก็ใช่ย่อย เพราะวิชัย เป็นลูกค้าเงินฝากกับแบงก์บัวหลวงมานานกว่า 10 ปี และไม่ว่าจะเป็นดีลเทคโอเวอร์ในอดีตของทนายนักชอบวิชัย ก็มักใช้บริการแบงก์กรุงเทพเสมอมา

แม้ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีจะเป็นธุรกิจใหม่ และแบงก์กรุงเทพไม่เคยปล่อยเดี่ยวหลักหมื่นล้านมาก่อน เพราะเงินขนาดนี้มักต้องใช้สินเชื่อร่วมหรือซินดิเคทโลน แต่เพราะความมั่นใจในฐานทุนของไทยรัฐ ซึ่งผู้บริหารแบงก์ใช้ว่า ดีลนี้ เหมือน “ยักษ์” ที่กระโดดมาทำ

เพราะถ้าไม่ใช่ วัชรพล ก็ไม่มีทางทำได้ !

ธุรกิจเคเบิ้ลทีวี เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินมหาศาลต่อให้ใครเข้ามาทำ ต่อจากนี้ ก็ไม่ใหญ่ เท่าที่ วัชรพล และวิชัย ทองแตง ทำมา

โอกาส การให้สินเชื่อหลักหมื่นล้านให้กับธุรกิจเคเบิ้ลทีวี หลังจากนี้ จึงนับเป็นเรื่องยาก “นายแบงก์” ผู้หนึ่งระบุ
---------------------------------------------------
ก้าวแรกธุรกิจเคเบิ้ล

วิชัยเล่าว่า เขาเข้าสู่ธุรกิจนี้ ก็เพราะ “กฤษณัน งามผาติพงศ์” ซีอีโอของซีทีเอช เป็นคนเอ่ยปากชักชวนก่อนเป็นคนแรก

“ผมรู้จักคุณกฤษณัน ได้เพราะแม่ยายของเขาเป็นอดีตลูกความที่ผมเคยว่าความให้” พร้อมกับรีบบอกต่อว่า ไม่ใช่เป็นเพราะกฤษณัน เคยทำงานที่เอไอเอสมาก่อน เพราะเขาลาออกจากการทำงานที่นั่นเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วก่อนที่จะเจอผม”

ในตอนแรก วิชัย ปฏิเสธไปว่าไม่ดีกว่า เพราะไม่มีความรู้ หรือประสบการณ์ในธุรกิจนี้ แต่กฤษณันกลับบอกว่า มีผู้เชี่ยวชาญทุกอย่างพร้อมแล้ว ขาดอย่างเดียวคือ "ผู้หาทุน" วิชัย หัวเราะ นี่จึงเป็นที่มาของการเข้ามาจับธุรกิจใหม่ของวิชัย ทองแตง

วิชัย เริ่มเดินสายไปคุยกับผู้ลงทุนรายอื่นๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด รวมทั้งกลุ่มไทยรัฐ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองใช้ “คอนเนคชั่น” ที่มีให้เป็นประโยชน์ ทั้งคอนเนคชั่นในฐานะทนายความและส่วนตัวที่เขาสร้างเอาไว้ให้เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจในครั้งนี้

“กลุ่มไทยรัฐที่เข้ามาร่วมทุนกับเรา ผมมองว่า 1.เป็นสื่อใหญ่ ทุนเยอะ ลูกค้าต่างจังหวัดเยอะ และ 2.เขามีความสนใจในธุรกิจนี้อยู่แล้ว ก็เลยเดินเข้าไปคุยกับ คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล (นามสกุลเดิม ทุมมานนท์) ประธานกรรมการ บริษัท วัชรพล จำกัด ประธานกรรมการ มูลนิธิไทยรัฐ และ ภรรยาของคุณ กำพล วัชรพล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ”

อาศัยตรงที่ว่า วิชัย และคุณหญิงประณีตศิลป์ มีพื้นเพเป็นคนพนัสนิคม เพราะนามสกุลเดิม "ทุมมานนท์" คือนามสกุลเก่าของเจ้าเมืองที่คุณหญิงสืบเชื้อสาย นอกจากนี้วิชัยเขายังเป็นเพื่อนของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” (สมัยเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาธรรมศาสตร์ รุ่นปี 2509) อีกด้วย

ซีทีเอชในวันนี้ เป็นเพียงนิยามการลงทุนใหม่ของวิชัย และเป็นก้าวแรกในการขยายไปทำธุรกิจในช่องทางใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เขามากขึ้น เมื่อมีโครงการ 3G เกิดขึ้นในประเทศ เพราะซีทีเอช จะทำหน้าที่ปูทางไปยังธุรกิจอื่นๆ ได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะด้านโลจิสต์จิกส์ และโทรคมนาคมที่วิชัยสนใจ นอกเหนือจากธุรกิจ 3 เสาหลักที่เขามีอยู่ คือ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล และล่าสุดธุรกิจเคเบิลทีวี

แม้สปอตไลต์จะส่องไปที่ธุรกิจเคเบิลทีวี แต่วิชัยยังมีสินทรัพย์อีกมหาศาล และมีธุรกิจในกำมืออีกหลายประเภท และเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกนั่นคือธุรกิจโรงพยาบาล ที่เขานั่งเป็นรองประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BGH เบอร์สองธุรกิจโรงพยาบาลในอาเซียน ถนัดเรื่องเทคโอเวอร์ และมีแผนที่จะรุกใหญ่ธุรกิจในเอเชีย

วิชัย เปิดกว้างให้กับผู้ที่สนใจจะเข้ามาเป็นพันธมิตรเสมอ แม้กระทั่งการระเบิดศึกเคเบิลทีวี ก็ไม่หวังจะทยานสู่เบอร์ 1 “ทำธุรกิจแล้วต้องได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้าทำธุรกิจแล้วคิดถึงเรื่องการชนะ แล้วก็ต้องเสียมิตร นั่นจึงไม่ใช่สไตล์ของผม” วิชัยกล่าวในตอนท้าย