'ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง'สไตล์'เถ้าแก่น้อย'

ท่ามกลางกระแสสังคมโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัล ทำให้นักการตลาดจำเป็นต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อให้ ทัน กับไลฟ์สไตล์
และความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกันเพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจ อีกทั้งกลยุทธ์การตลาดที่มีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการจัดกิจกรรม การสื่อสารผ่านดิจิทัล ออนไลน์ ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้ต้นทุน “ต่ำ” หวังแย่งชิงฐานลูกค้าและเสริมยอดขายอีกทางหนึ่ง
วันนี้นักการตลาดหลายคนให้ความสำคัญกับ “ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง” มากขึ้น อย่างที่กูรูการตลาดอย่าง อนุวัตร เฉลิมไชย นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย เคยกล่าวไว้ว่า “ไม่ควรโหนกระแส แต่ก็ห้ามตกขบวน” ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง จึงเป็นเครื่องมือที่นักการตลาดยุคนี้ต้องหยิบจับ มาทำประโยชน์ให้ได้
แต่อีกมุมหนึ่งของนักการตลาดยุคใหม่อย่าง อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสแน็กสาหร่าย "เถ้าแก่น้อย" ที่เคยถ่อมตัว “ไม่เอามะพร้าวห้าวไปขายสวน” กับนักการตลาดรุ่นใหญ่ แต่ขอแชร์ไอเดียเกี่ยวกับทิศทางการทำตลาดในปีมะเส็ง โดยยกให้ "3 กลยุทธ์" เป็นเครื่องมือสำคัญของการทำการตลาดให้มีประสิทธิผลมากขึ้น
ประการแรก คือ ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง “เทรนด์การทำตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ไอที และเทคโนโลยีต่างๆ ในขณะนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของนักการตลาดเท่านั้น เพราะเป็นสิ่งที่จะอยู่กับผู้บริโภคไปอีกนาน ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน การใช้โซเชียล มีเดีย ล้วนเพิ่งเริ่มต้น ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่สามารถประยุกต์ พัฒนาให้เกิดนวัตกรรมการตลาดได้อีกมาก”
ขณะที่บริษัทมีการใช้ดิจิทัล เป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ เพื่อเข้าถึงและขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะการดึงโลโก้ผลิตภัณฑ์อย่างเถ้าแก่น้อยมาทำเป็น สติ๊กเกอร์น่ารักๆ ให้ดาวน์โหลดบนแอพพลิเคชั่นสุดฮิต LINE ในชื่อ “Tao Kae Noi” ซึ่งมีอยู่ 16 ชุด โดยอดดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์พุ่งเกินกว่า 2 ล้านครั้ง และยอมรับว่าโดนใจวัยรุ่นไม่น้อย ที่สำคัญยังสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยที่เป็นสแน็กประเภทสาหร่ายด้วย
ปัจจุบันบริษัทยังได้พัฒนาเกมส์เถ้าแก่น้อยบนโลกออนไลน์ เอาใจ TKN แฟนคลับ อีกทาง โดยมีธีมของเกมส์ เช่น เถ้าแก่น้อย China Town ตอนร้านบะหมี่, ร้านติ่มซำ เถ้าแก่น้อย Mega Farm เป็นต้น นอกจากจะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำแล้ว ยังสร้างความภักดีต่อแบรนด์ตามมาด้วย ที่สำคัญหากเกมส์ได้รับความนิยมสูง บริษัทยังมีโอกาสสร้างรายได้จากเม็ดเงินโฆษณาอีกทาง
นอกจากนี้ อิทธิพัทธ์ ยังสร้าง Personal Brand ของตนเองผ่านช่องทางออนไลน์ ด้วยการสร้างแฟนเพจบนเฟซบุ๊ค ที่ปัจจุบันมีคนคลิก Like กว่า 50,000 ราย ช่องทางดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นมาทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ส่งผลต่อแบรนด์ แต่จะช่วยเชื่อมโยงยอดขายสินค้าในอนาคตด้วย เพราะกิจกรรมต่างๆ ที่สื่อสารบนโลกออนไลน์ไปยังผู้บริโภค การดึงให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมย่อม Link ไปที่ตัวสินค้าอยู่แล้ว
ประการที่สอง กลยุทธ์การคิดต่าง สร้าง Niche Market ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งที่นักการตลาดต้องปรับใหม่ การ "คิด" ให้ "ต่าง" จากคู่แข่งมีความสำคัญมาก เพราะทุกวันนี้ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ถือว่าอยู่ในสมรภูมิแดงเดือดหรือ Red Ocean ภาคธุรกิจจึงต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็น Niche Market มาตอบสนองความต้องการผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เพื่อสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ และยังเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วย
ประการที่สาม แปรคู่แข่งเป็นคู่ค้า เพราะการตลาดยุคนี้แข่งขันสูงมาก และคู่แข่งในตลาดก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นการเปลี่ยนคู่แข่งให้เป็นคู่คิด และร่วมมือกันทางการค้าจะมีบทบาทมากขึ้น ยิ่งเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมรับมือและออกไปต่อกรกับนานาประเทศมากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องผนึกความแข็งแกร่งระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน นำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาช่วยส่งเสริมธุรกิจไทย
ยกตัวอย่างของคู่แข่งที่แปรมาเป็นพันธมิตร คือธุรกิจบันเทิงของเกาหลี กระแส K-pop ที่มาแรงมาก ทำให้ค่ายเพลงที่เป็นคู่แข่งกันหันมาผนึกกันเพื่อสร้างคอนเทนท์ให้แกร่ง ผลักดันศิลปินเกาหลีให้โด่งดังระดับโลกได้ “ศิลปินเขามาจากคนละค่าย เป็นคู่แข่งในวงการเพลง แต่กลับมาร่วมมือกันสร้างจุดแข็ง สร้างความแตกต่างให้กับตลาดได้”
ไม่ว่านักการตลาดจะงัดกลยุทธ์เด็ดแค่ไหน มามัดใจผู้บริโภค จะออนไลน์ โซเชียลมีเดีย การคิดต่าง ประสานมือคู่แข่ง ทั้งสามสิ่งมีเป้าหมายเดียวนั่นคือการทำให้ยอดขายสินค้าเติบโตนั่นเอง !!




