3 แถวหน้าโรงแรมไทย 'บุกนอก'

เมื่อพูดถึงภาคธุรกิจที่ไปปักธงต่างประเทศเพื่อนำเม็ดเงินกลับเข้ามากันอย่างคึกคักอยู่ในปัจจุบัน
“กลุ่มโรงแรม” เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เริ่มก้าวจากฐานที่มั่นในประเทศ ออกไปโตนอกบ้าน ท่ามกลางสภาวะที่ถือได้ว่า “ท้าทาย” เมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เนื่องจากการชิงชัยในภาคธุรกิจโรงแรมทั่วโลกขณะนี้ มีแบรนด์ดังภายใต้ “เชนระดับโลก” (อินเตอร์แบรนด์) เข้าตีตรายึดเกือบทุกมุมเมืองทั่วโลก โดยอาศัยความได้เปรียบจากชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน
ดังนั้น เชนโรงแรมไทยแถวหน้าที่ “กล้า” ออกไปลงทุนในต่างประเทศ จึงถือเป็นภารกิจหนักที่ต้องอาศัยปัจจัยแห่งความสำเร็จ ที่หลากหลายกว่าธุรกิจอื่นๆ ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้บริหารโรงแรมไทยพบ "จุดร่วมเดียวกัน" คือการใช้จุดแข็งเรื่อง “บริการแบบไทย” เป็นแม่เหล็กดึงดูดใจลูกค้าต่างชาติ
"เซ็นทารา" เครือใหญ่ที่หยั่งรากในไทยมานาน เป็นหนึ่งกลุ่มที่เริ่มเห็นเส้นทางความสำเร็จชัดเจนมากขึ้น หลังจากจัดโครงสร้างเพื่อต่างประเทศอย่างจริงจัง โดย ธีรยุทธ จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เปิดเผยว่า เมื่อสิ้นสุดปี 2555 เซ็นทาราจะมีโรงแรมทั้งที่เป็นเจ้าของและรับบริหารทั้งหมด 34 แห่ง และแม้ว่าในจำนวนดังกล่าวจะยังมีโรงแรมต่างประเทศเพียงแค่ 5 แห่ง
ทว่าในปี 2556 ผู้บริหารเซ็นทาราระบุว่า จะมีโรงแรมเพิ่มเป็น 47 แห่ง (เพิ่มขึ้น 13 แห่ง) ในจำนวนนี้สัดส่วนโรงแรมในต่างประเทศจะขยับเพิ่มจาก 5 แห่ง เป็น 18 แห่ง ก่อนที่ในปี 2560 หรือในราวอีก 5 ปีจากนี้จะขยายพอร์ตเพิ่มเป็นถึง 80 โรงแรม ในจำนวนนี้จะเป็นโรงแรมในต่างประเทศ "มากกว่า 30 แห่ง" ขึ้นไป
นั่นหมายถึงนับจากนี้เป็นต้นไปเซ็นทารา จะต้องเซ็นสัญญาบริหารโรงแรมให้ได้ 8-10 แห่งต่อปี ภายใต้กลยุทธ์หลัก Assets Light คือเน้นรับบริหารแทนการลงทุนเอง
ทั้งนี้ ตามเป้าดังกล่าว ยังไม่รวมถึง "แบรนด์ราคาประหยัด" น้องใหม่ล่าสุดอย่าง “โคซี่” ที่เพิ่งเปิดตัวไปพร้อมกับวาดแผนว่าจะเปิดทั้งในไทยและต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 30 แห่งให้ได้ภายในปี 2563
สำหรับทำเลที่ตั้งโรงแรมในต่างประเทศนั้น เซ็นทารา ยังเลือกมองทำเลในละแวกเอเชีย โดยให้ความสำคัญกับ อาเซียน จีน และอินเดีย มากที่สุด เพราะกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวเป็นประเทศกำลังซื้อใหม่ ซึ่งถือเป็นฐานกำลังสำคัญของแบรนด์เซ็นทารา โดยเฉพาะในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังเดินหน้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 จึงคาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล
ผู้บริหารเซ็นทารา ระบุว่า การจัดทัพรุกต่างประเทศนั้น จะให้ความสำคัญกับทุกแบรนด์ใน “เซ็นทารา แฟมิลี่” ซึ่งทุกวันนี้มีอยู่ 6 แบรนด์ "เท่าๆ กัน" เพราะมีโอกาสเติบโตได้หมด เพราะต้องการให้มีทางเลือกที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละพื้นที่ หากเป็นทำเลในระดับ 5 ดาวก็จะนำ “เซ็นทาราแกรนด์” ไปบุกเบิก ขณะที่แบรนด์ โคซี นั้นอาจไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงทำเล เพราะสามารถไปเปิดได้เกือบทุกที่
ขณะที่ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล แบรนด์เก่าแก่กว่า 60 ปีของไทยที่บรรจงใช้เวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาในการสร้างรากฐานเพื่อเตรียมบุกต่างประเทศอย่างแข็งแกร่งนั้น ชนินทธ์ โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ขณะนี้มีโรงแรมที่เปิดให้บริการแล้ว 19 แห่ง แบ่งเป็นต่างประเทศ 6 แห่ง
ทั้งนี้ตามแผนจนถึงปี 2558 ดุสิตจะมีโรงแรมถึง 50 แห่งนั้น ชนินทธ์ ระบุว่า จะเน้นการ "กระจายความเสี่ยง" จากตลาดในประเทศไปเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศถึง 50% เมื่อถึงช่วงเวลาดังกล่าวจะลดทั้งสัดส่วนการลงทุนเอง และไปให้ความสำคัญกับการรับบริหารแทนด้วย
โดยการบุกต่างประเทศ จะมุ่งนำเสนอแบรนด์ ดุสิตธานี ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับ 5 ดาวเป็นหลัก เพราะมองว่าการไปเปิดโรงแรมต่างประเทศนั้น เปรียบเสมือนเป็นหน้าตาที่จะทำให้ชาวต่างชาติรู้จักเครือดุสิตได้ดีที่สุด โดยจะคัดเลือกทำเลที่ดีในการนำร่องธุรกิจ เพื่อให้ดุสิต มีภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ และน่าเชื่อถือที่สุดในสายตานักลงทุนและพันธมิตรธุรกิจ
ชนินทธ์ กล่าวด้วยว่า ในปีหน้าจะยังคงเห็นแนวโน้มที่สดใสในการขยายโรงแรมต่างประเทศของเครือดุสิต ด้วยการเปิดโรงแรมใหม่เป็นสถิติสูงสุดถึง 7 แห่ง ภายใต้สัญญารับบริหารทั้งหมด และจะทำให้มีโรงแรมในพอร์ตเพิ่มเป็น 26 แห่ง
ด้านเจ้าของแบรนด์เก่าแก่อย่างโรงแรม อมารี ที่ปรับโครงสร้างบริหารเข้ามาอยู่ภายใต้บริษัท ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ และยังแตกแบรนด์โรงแรมมาเป็น 4 แบรนด์เพื่อจับ 4 เซกเมนต์ที่ต่างกันนั้น ปีเตอร์ เฮนลีย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ขณะนี้กำลังเดินในเส้นทางที่ท้าทายสู่เป้าหมาย 81 โรงแรมภายในปี 2561 เพื่อขึ้นแท่นสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทรับบริหารจัดการธุรกิจบริการชั้นนำของเอเชียแปซิฟิก
โดยร่างเส้นทางการขยายโรงแรมต่างประเทศเป็น 6 โซนหลัก กำหนดจุดเลือกเมืองที่มีความโดดเด่นแต่ละพื้นที่ โดยในพื้นที่ตะวันออกกลางเลือกขยายที่ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเดินทางมาไทยจำนวนมาก การมีโรงแรมในเครือไปเปิดที่นั่น จะเป็นการยกระดับแบรนด์และสร้างการรับรู้ที่ดีมากอีกทางหนึ่ง หลังจากนั้นแล้วจะขยายไปยัง ดูไบ และ อาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึง เลบานอน ซาอุดิอาระเบีย โอมาน และจอร์แดน
โซนต่อมาจะมุ่งไปยังประเทศในแถบมหาสมุทรอินเดีย อย่าง อินเดีย ศรีลังกา มัลดีฟส์ ตามด้วยโซนประเทศจีน ต่อด้วยกลุ่มประเทศพรมแดนติดกับไทย ทั้ง มาเลเซีย เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า อินโดนีเซีย สิงคโปร์ โซนออสเตรเลีย ทว่าอย่างไรก็ตามจะไม่ทิ้งโซนสำคัญอย่างประเทศไทย
เฮนลีย์ กล่าวว่า การเลือกโฟกัสในเอเชีย เพราะต้องการให้อยู่ในขอบเขตการบริหารงานและควบคุมจากศูนย์กลางในกรุงเทพฯ ได้สะดวก โดยหนึ่งในทำเลที่ ออนิกซ์ มักจะถูกตั้งคำถามมากที่สุดในขณะนี้ว่าจะขยายเข้าไปหรือไม่คือ “พม่า” เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ภายใต้กลุ่ม อิตัลไทย เจ้าของเดียวกันกับโปรเจกท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ในพม่านั่นเอง
แม้ว่า ออนิกซ์ จะยอมรับว่าจะมีความสนใจ แต่ในแง่การขยายโรงแรมในประเทศพม่า แต่น่าจะเกิดในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ หรือ บากัน มากกว่าที่ ทวาย







