ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อุปทานล้นตลาด ราคาน้ำมันยังทรงตัว

ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อุปทานล้นตลาด ราคาน้ำมันยังทรงตัว

ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อุปทานล้นตลาด ราคาน้ำมันยังทรงตัว ยังคงต้องจับตาในหลายปัจจัย จากอุปทานล้นตลาด ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน หรือ สหรัฐฯ–เวเนซูเอลา รวมไปถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบ ในตลาดโลกช่วงปลายปี ยังคงต้องจับตาในหลายปัจจัย จากอุปทานล้นตลาด ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งรัสเซีย-ยูเครน หรือ สหรัฐฯ-เวเนซูเอลา รวมไปถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย

ทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ในเดือน ธ.ค. 2568 ราคาน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวในกรอบ 61–64 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่ที่ 57-60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากสภาวะอุปทานล้นตลาด สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน หรือ สหรัฐฯ–เวเนซูเอลา รวมถึงท่าที ของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงคาดว่า แนวโน้มราคาน้ำมัน ช่วงเดือน ม.ค. - ก.พ. 2569 จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 60-65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

ปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน ปัจจัยแรกคือ สภาวะอุปทานล้นตลาดจาก กลุ่ม OPEC+ ที่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบตั้งแต่เดือนเมษายนถึงธันวาคม 2568 รวมเกือบ 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนประเทศนอกกลุ่ม OPEC+ โดยเฉพาะสหรัฐฯ บราซิล แคนาดา และกายอานา เพิ่มการผลิตต่อเนื่องเช่นกัน ส่งผลให้อุปทานน้ำมันโลกในปี 2568 อาจมากกว่าความต้องการใช้ถึง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

อีกปัจจัยคือ สถานการณ์สงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่เริ่มมีความคืบหน้าการเจรจาสันติภาพ โดยประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่าการยอมรับการรับประกันด้านความมั่นคงจาก สหรัฐฯ ยุโรป และพันธมิตรอื่นๆ แทนการเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญา แอตแลนติกเหนือ (NATO) ถือว่าเป็นการประนีประนอมของยูเครนเพื่อยุติสงครามกับรัสเซีย หลังหารือกับผู้แทนจากสหรัฐฯ ใน กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ทั้งนี้ ทั้ง 2 ฝั่งก็ยังโจมตีกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดจ่ายน้ำมันกลางทะเล บริเวณท่าส่งออก Novorossiysk ในทะเลดำของรัสเซียได้รับความเสียหายจากโดรนของยูเครน ขณะที่รัสเซียได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าในหลายภูมิภาคของยูเครนเช่นกัน

ในขณะที่ ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐฯ และเวเนซุเอลา ส่อเค้าทวีความรุนแรงขึ้น โดยสหรัฐฯ ยึดเรือขนส่งน้ำมันดิบของเวเนซุเอลา รวมถึงเรือที่เคยบรรทุกน้ำมัน จากประเทศที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร เช่น อิหร่าน เป็นต้น ซึ่งอาจกระทบการขนส่งน้ำมัน ประกอบกับสหรัฐฯ ประกาศจะทำสงครามกับ เวเนซุเอลา ในเร็วๆนี้ พร้อมสั่งเสริมกำลังกองทัพสหรัฐในพื้นที่แคริบเบียนตอนใต้ เพื่อกดดันประธานาธิบดีเวเนซุเอลาอย่างต่อเนื่อง 

นอกจากนี้กระทรวงการคลังของสหรัฐ ได้ประกาศคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อเวเนซุเอลา ในเรื่องของการจัดหาเงินทุนให้กับระบบการค้า ยาเสพติดและผู้ก่อการร้าย ในขณะเดียวกัน ที่ประชุมนโยบายการเงิน หรือ FOMC มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% สู่ระดับ 3.50–3.75% นับเป็นการปรับลดต่อเนื่องครั้งที่ 3 ของปีนี้ แต่มีแนวโน้มว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจชะลอการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินข้อมูลเศรษฐกิจ หลังGovernment Shutdown ของสหรัฐฯ เป็นเวลา 43 วัน 

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตาม ไม่ว่าจะเป็นผลการพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐฯ เม็กซิโกและแคนาดา ต่อมาตรการทางการค้า ที่อาจกระทบอุตสาหกรรมรถยนต์และพลังงาน 

ขณะที่การเจอกัน ระหว่างผู้นำรัสเซียและอินเดีย ในการประชุมสุดยอดอินเดีย– รัสเซีย ที่กรุงนิวเดลี เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 68 ที่ผ่านมา มีแนวโน้มที่อินเดียอาจจะกลับมาซื้อน้ำมันจากรัสเซียมากขึ้น ถึงแม้จะมี มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียก็ตาม