หย่งจิน เมทัลฯ โต้ข้อกล่าวหาทุ่มตลาด ห่วงกระทบอุตสาหกรรมปลายน้ำไทย

หย่งจิน เมทัลฯ โต้ข้อกล่าวหาทุ่มตลาด ห่วงกระทบอุตสาหกรรมปลายน้ำไทย

หย่งจิน เมทัล เทคโนโลยี แจงข้อกล่าวหาทุ่มตลาดเหล็กเวียดนาม หวั่น AD สูงกระทบอุตสาหกรรมปลายน้ำไทย-บริษัทแม่ชะลอลงทุน

รายงานข่าวระบุว่า กรมการค้าต่างประเทศ ได้ประกาศเปิดการไต่สวนตอบโต้ การทุ่มตลาด (AD) สินค้าเหล็กกล้าไร้สนิม รีดเย็น ชนิดม้วน แผ่น และแผ่นแถบ ที่มีแหล่งกำเนิดจากสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ตามมติของคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) โดยการไต่สวนครั้งนี้มีขึ้นหลังจากบริษัท โพสโค-ไทยน๊อคซ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นเกาหลี ได้ยื่นคำขอไต่สวนดังกล่าว โดยคณะกรรมการ ทตอ. ตรวจพบข้อเท็จจริงเบื้องต้น อาทิ

  1. การทุ่มตลาด โดยผลการเปรียบเทียบราคาส่งออกสินค้ามายังประเทศไทยกับราคาขายสินค้าชนิดเดียวกันในเวียดนาม (ระดับราคาหน้าโรงงานเดียวกัน) พบส่วนเหลื่อมการทุ่มตลาดสูงถึง 10.30% ของราคา CIF
  2. ความเสียหาย ปริมาณการนำเข้าเหล็กจากเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาขายภายในประเทศของสินค้าที่ผู้ยื่นคำขอเป็นผู้ผลิต ทำให้ยอดจำหน่าย ผลผลิต และส่วนแบ่งตลาดมีแนวโน้มลดลงรวมถึงผลประกอบการที่ขาดทุน

"กรุงเทพธุรกิจ" ได้สอบถามข้อมูลไปยัง บริษัท หย่งจิน เมทัล เทคโนโลยี (เวียดนาม) จำกัด ถึงกรณีไต่สวนการ ทุ่มตลาด AD ว่า จากสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศยังมีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสหรัฐประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้มีเป้าหมายสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศสหรัฐ 

ทั้งนี้ อาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่ออุตสาหกรรมเหล็กโดยรวมในไทย เกิดความกังวลและความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับความผันผวนในด้านการค้าโลกและห่วงโซ่อุปทาน อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มแตกแยกและการแข่งขันที่สูงขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันเองจึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น การเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค และการรักษาการไหลเวียนทางการค้าภายในอาเซียน โดยเฉพาะในส่วนของวัตถุดิบอุตสาหกรรมที่สำคัญอย่างเหล็กกล้าไร้สนิม เป็นสิ่งจำเป็นต่อการคุ้มครองเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาค 

"การส่งออกเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็น หรือเหล็กสเตนเลสรีดเย็น จากประเทศเวียดนามไปยังประเทศไทยนั้นมีปริมาณน้อยมาก โดยในช่วงของการสอบสวน (1 ก.ค. 2566 – 30 มิ.ย.2567) น้อยกว่า 10,000 ตัน หรือประมาณ 6% ของยอดส่งออกทั้งหมดของบริษัทฯ แทบไม่มีผลต่อส่วนแบ่งตลาดในไทย ซึ่งการส่งออกส่วนใหญ่มีขึ้นเพื่อดูแลลูกค้าประจำที่มีอยู่แล้วในภูมิภาค และเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคตของบริษัทแม่ในประเทศไทย"

และหากมีการเรียกเก็บอากร AD ในอัตราสูง ต้นทุนการนำเข้าผลิตภัณฑ์ของหย่งจินจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทบต่อคำสั่งซื้อจากไทย ดังนั้น ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงที่สุดคือ บริษัทฯ อาจถูกบีบให้ออกจากตลาดไทยโดยสิ้นเชิง ที่สำคัญกว่านั้น การเรียกเก็บอากร AD จะส่งผลให้ Yongjin Metal Technology ซึ่งเป็นบริษัทแม่อาจพิจารณาล้มเลิกหรือระงับแผนการลงทุนในประเทศไทย จากเดิมจะเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตเหล็กกล้าไร้สนิมชนิดแผ่นและแถบ ด้วยกำลังการผลิตราว 200,000 ตัน

"โครงการนี้ได้รับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) แล้ว หากแผนนี้ต้องทบทวนหรือสะดุดไป จะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุน แต่ยังหมายถึงการ สูญเสียโอกาสการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยอีกด้วย"

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยืนยันว่า การกำหนดราคาของบริษัทฯ อยู่บนพื้นฐานของราคาตลาด โดยอ้างอิงกับราคาผู้ส่งออกรายอื่นๆ รวมทั้งผู้ผลิตในประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน "โพสโค-ไทยน๊อคซ์" ถือเป็นผู้ผลิตรายเดียวในไทยนั้น บริษัทฯ เชื่อว่ารูปแบบการกำหนดราคาของตนนั้นสมเหตุสมผลและไม่ถือเป็นการทุ่มตลาด

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของราคาเกิดจาก ราคาขายที่สูงกว่าของ โพสโค-ไทยน๊อคซ์ ในขณะที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุนและการประกันคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ทำให้สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงในราคาที่ต่ำลง

"บริษัทฯ มีการควบคุมปริมาณการส่งออกรวมไปยังประเทศไทยอย่างเข้มงวด โดยมียอดขายต่อเดือนไม่เกิน 1,000 ตัน ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ไม่ค่อยหมุนเวียนในตลาดในวงกว้าง และไม่มีหลักฐานของการก่อกวนตลาดหรือกิจกรรมการ ทุ่มตลาด"

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นผู้บริโภคและผู้นำเข้าเหล็กสเตนเลสรายใหญ่ในอุตสาหกรรมผู้ใช้เหล็กขั้นปลาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ โดยประมาณ 30-40% ของความต้องการเหล็กสเตนเลสรีดเย็นของไทยต้องพึ่งพาการนำเข้า เนื่องจากผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถตอบสนองความต้องการภายในประเทศได้อย่างเต็มที่ เวียดนามจึงเป็นผู้มีส่วนสำคัญต่อเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทานสำหรับตลาดไทย เนื่องจากระยะเวลาการขนส่งจากเวียดนามไปยังประเทศไทยใช้เวลาเพียงประมาณสามวัน

ดังนั้น หากมีการเรียกเก็บอากร AD ลูกค้าปลายน้ำในประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนราว 10-20% จะส่งผลกระทบกระแสเงินสดและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และอาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียงานนับพันตำแหน่ง สิ่งนี้อาจบีบให้ผู้ใช้งานปลายน้ำต้องจัดหาสินค้าจากอุตสาหกรรมภายในประเทศในราคาที่สูงเกินสมควร ซึ่งผู้บริโภค และซัพพลายเออร์ปลายน้ำจะเป็นผู้รับภาระต้นทุนในที่สุด โดยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้จะบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันทางอุตสาหกรรมของไทยในที่สุด

"แม้จะมีความท้าทาย บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะควบคุมต้นทุนและคุณภาพเพื่อประโยชน์ของลูกค้าประจำในประเทศไทย หากมีการเรียกเก็บอากร AD บริษัทฯ จะยังคงดำเนินการเชิงพาณิชย์ที่จะส่งออกต่อไป โดยการปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์และต้นทุนเพื่อให้ลูกค้ายังสามารถแข่งขันได้"

ทั้งนี้ บริษัทฯ เรียกร้องให้ กรมการค้าต่างประเทศ พิจารณาอย่างรอบคอบว่ามีความเสียหายหรือภัยคุกคามจากความเสียหายที่ โพสโค-ไทยน๊อคซ์ ได้รับจริงหรือไม่ หรือเกิดความเสียหายจากสินค้านำเข้าจากเวียดนามหรือปัจจัยอื่นๆ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีการพิจารณาผลประโยชน์ของซัพพลายเออร์ปลายน้ำและผู้บริโภคขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความต้องการของไทยอย่างน้อย 40% พึ่งพาการนำเข้า ทำให้การเรียกเก็บอากร AD จะไม่เป็นผลประโยชน์ของตลาดภายในประเทศในภาพรวม

มาตรการดังกล่าวจะเป็นอุปสรรคต่อหลักการสำคัญของความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน และยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการที่ประเทศสมาชิกอาเซียน ที่ต้องสนับสนุนซึ่งกันและกันและส่งเสริมการค้าทวิภาคี โดยบริษัทฯ พร้อมที่จะเจรจาข้อผูกพันด้านราคากับวิสาหกิจไทย หรือร่วมกันยื่นขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า มาตรการ AD ไม่ใช่การห้ามการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียม แต่ด้วยการดำเนินธุรกิจที่แย่ลง เนื่องจากสภาพอุตสาหกรรมเหล็กที่ซัพพลายทั่วโลกสูง การที่จะมีบริษัทใดบริษัทหนึ่งร้องข้อมูลให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบเป็นเรื่องปกติ แต่จะต้องนำเสนอข้อมูลให้กับภาครัฐอย่างครบถ้วนถึงความเสียหาย

ดังนั้น ประเด็นสำคัญของการ ทุ่มตลาด ไม่ใช่การขายราคาต่ำ แต่ประเด็นสำคัญอยู่การนำเข้ามาขายในไทยถูกกว่าการขายในประเทศตัวเอง ส่วนประเด็นหลักต่อมาก็คือ การทำให้ธุรกิจในประเทศของไทยเสียหายหรือไม่ หากเปรียบเทียบอาจจะเปรียบได้กับการขายรถยนต์ที่เกิดการดั้มราคาทำให้กลไกตลาดเปลี่ยน เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องมาการยื่นขอให้เกิดการเปิดการไต่สวนและนำเสนอข้อมูลต่างๆ

"ภาครัฐจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มข้นว่ามีการขายออกมาต่ำกว่าที่ขายในประเทศต้นทางหรือไม่ เช่น ประเทศต้นทางขาย 100 บาท แต่ผู้นำเข้ามาขายในไทยต่ำกว่า 98 บาท จึงถือว่าเป็นลักษณะของการท่วมตลาดได้ หากภาครัฐตรวจสอบแล้วไม่เกิดความเสียหายก็อาจจะไม่ผิดอะไร แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีการทุ่มตลาดเกิดการตัดหรือลดราคากันสูง เช่น มีส่วนเหลื่อมล้ำกระทบความเสียหาย ส่วนต่างที่เหลือก็จะต้องเก็บภาษีนำเข้าของไทย เพื่อให้ราคาที่เข้ามามีการแข่งกันด้วยความเป็นธรรม ถือเป็นหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ภาครัฐจะต้องรอบคอบ" นายบัณฑูรย์ กล่าว

การไต่สวน AD ครั้งนี้ จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า กรมการค้าต่างประเทศ จะหาจุดสมดุลระหว่างการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศกับการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมปลายน้ำได้อย่างไร ท่ามกลางความท้าทายจากสถานการณ์การค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว