ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน กดดันตลาดน้ำมันผันผวนสูง

ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน กดดันตลาดน้ำมันผันผวนสูง

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในเดือน มิ.ย. 2568 เผชิญความผันผวนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่กระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุน รวมถึงนโยบายของกลุ่ม OPEC+ ที่เพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง

ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้น โดย Brent เคลื่อนไหวอยู่ที่ 65-78 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ WTI อยู่ที่ 63-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยแนวโน้มเดือน ก.ค.-ส.ค.จะผันผวนอยู่ในกรอบ 65-75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีความไม่แน่นอน

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านช่วงที่ผ่านมา มีการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ ฐานทัพ และศูนย์วิจัยในหลายเมืองของอิหร่าน อิหร่านจึงตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและส่งโดรนกว่า 100 ลำ เข้าโจมตีอิสราเอล ทำให้โครงสร้างพื้นฐานเสียหาย นำมาสู่การขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุสของอิหร่าน ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่คณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่านจะตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย ทางสหรัฐได้ประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นการยุติสงครามในระยะเวลา 12 วัน

ในขณะที่ กลุ่ม OPEC+ ยังคงผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยตั้งแต่เดือน เม.ย.-ก.ค. มีการผลิตเพิ่มขึ้นรวม 1.37 ล้านบาร์เรลต่อวัน และในเดือน ส.ค. เพิ่มอีก 411,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มอยู่ในสภาวะอุปทานล้นตลาด

ทั้งนี้ กำลังการผลิตจริงในบางประเทศ เช่น อิรัก และสหรัฐอาหรับเอมิเรต ผลิตได้ต่ำกว่าเพดานที่กำหนด ซึ่งเป็นการชดเชยการผลิตส่วนเกินช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ดี แนวโน้มโดยรวมตลาดน้ำมันดิบยังอยู่ภาวะอุปทานล้นตลาด ส่วนปัจจัยนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากวิกฤติตะวันออกกลาง และนโยบายภาษีใหม่ที่อาจกระทบเศรษฐกิจ ทั้งนี้ FED อาจลดดอกเบี้ยครั้งถัดไป ในการประชุมเดือน ก.ย. ต.ค. และ ธ.ค. 2568

ปัจจัยอื่นๆ ที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่ม G7 ได้หารือมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม โดยมุ่งเน้นไปที่การลดราคาน้ำมันดิบของรัสเซีย และการคว่ำบาตรน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากน้ำมันดิบของรัสเซีย หากมาตรการเหล่านี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้อุปทานน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัวขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว โดยธนาคารโลกลดคาดการณ์ GDP โลกปี 2568 เหลือ 2.3% จากเดิม 2.7% ขณะที่ EIA ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกลงเหลือ 800,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมันดิบที่จะได้รับแรงกดดันมากขึ้น จึงเป็นอีกปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันหลังจากนี้