นักเศรษฐศาสตร์ ชี้ ‘จีดีพี’ ไทยปีนี้ ส่อติดลบ 1.1% หากยังโดนภาษี 36%

“อินโนเวสท์ เอกซ์” ชี้ จีดีพีไทยปีนี้อาจติดลบ 1.1% หากยังโดนภาษี 36% ส่วน “ซีไอเอ็มบี” มอง ภาษีสูงกระทบความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุน “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดนักลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตไปลาตินอเมริกาเพราะมีแนวโน้มโดนภาษีเพียง 10%
หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายถึงประเทศไทยว่าในวันที่ 1 ส.ค. จะปรับภาษีศุลกากรกลับไปสู่ระดับเดิมที่ 36% หลังจากหมดช่วงเวลาการหยุดพัก 90 วัน ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากไทยโดยภาษีนำเข้า 36% มีโอกาสสูงที่จีดีพีทั้งปีจะติดลบประมาณ 1.1% และครึ่งหลังอาจติดลบ 4-4.5% เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาดหลักของไทยและภาษีทั่วโลกจะกระทบต่อการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว
จากความเสี่ยงทั้งหมด ดร.ปิยศักดิ์ กล่าวว่า นโยบายการเงินการคลังต้องผ่อนคลายเนื่องจากเศรษฐกิจจะแย่ลงไปอีกมาก กล่าวคือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน (Emergency Cut) อย่างน้อย 1 ครั้ง จำนวน 0.25% ก่อนเดือนส.ค. และอาจเป็นไปได้ว่าต้องลดมากกว่านั้น
รวมทั้ง นโยบายการคลังควรเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท ซึ่งควรเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้และเร่งให้มากยิ่งขึ้นเพราะแม้ว่าผลกระทบจากภาษีทรัมป์จะหนักสำหรับภาคการส่งออกแต่หากนโยบายการเงินและการคลังผสานไปด้วยกันก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจไปได้
ความเชื่อมั่นหด
ดร. อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า อัตราภาษี 36% กระทบต่อความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนอย่างแน่นอน โดยการเก็บภาษีที่ระดับนี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามที่สหรัฐเก็บเพียง 20% สำหรับสินค้าทั่วไป
ต่อมาคือผลกระทบต่อการส่งออก การเก็บภาษีในระดับสูงนี้ หรือแม้แต่การเลื่อนการเก็บภาษีออกไป ก็ยังทำให้นักลงทุนลังเลที่จะเข้ามาลงทุน ส่งผลให้การส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีมีความเสี่ยงที่จะหดตัวได้ แม้ว่าการคาดการณ์การเติบโตของการส่งออกทั้งปีอาจจะยังเป็นบวก แต่ก็จะเป็นบวกในระดับต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้คือลดลงจาก 3.5%
สำหรับสินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือกลุ่มที่แข่งขันกับเวียดนามในตลาดสหรัฐจะลำบากมากขึ้น ได้แก่ ชิ้นส่วนโทรศัพท์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์
ในขณะที่ สินค้าที่ไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขันอย่างยางรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ และอาหารสัตว์ แม้จะโดนเก็บภาษีในฝั่งสหรัฐมาก แต่ก็ยังสามารถแข่งขันได้อยู่ แต่ในระยะยาวก็ต้องมีการพัฒนาเช่นเดียวกัน
“บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการย้ายฐานการผลิตจากไทยไปยังเวียดนามหรือประเทศอื่นในอาเซียน รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะจากจีน อาจจะไม่เข้ามาไทยโดยตรง หากการลงทุนลดลง จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของค่าจ้าง การบริโภค และจีดีพีในอนาคต”
'ลาตินอเมริกา' ฐานการลงทุนใหม่ ภาษีแค่ 10%
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ เป็นกรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า มีแนวโน้มที่ จีดีพีไทย ตลอดปี 2025 จะเติบโตลดลงจากเดิมที่คาดไว้ว่า 1.4% มาอยู่ที่ประมาณ 1.1-1.2% จากการเก็บภาษีของสหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่ภาคธุรกิจจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ได้รับภาษีต่ำกว่า เช่นเวียดนามที่โดยภาษีไป 20% หรือกลุ่มประเทศในแถบลาตินอเมริกาที่มีแนวโน้มโดนแค่ 10% ดังนั้นแทบไม่มีเหตุผลที่จะมาผลิตสินค้าในประเทศไทย ยกเว้นกลุ่มที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญและต้นทุนอย่างยางรถยนต์
มากไปกว่านั้น หนึ่งสิ่งที่รัฐบาลทรัมป์อยากได้จากประเทศไทยคือการลดสิ่งที่เป็น Non-tariffs Barriers ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตลาดเนื้อหมู ขั้นตอนด้านศุลกากรที่ยุ่งยาก ข้อกำหนด Foreign Business Act. กฎหมายการคุ้มครองทางปัญญา (Intellectual Protection) ซึ่งสิ่งเหล่านี้ยังไม่เห็นมากนักในข้อเสนอของรัฐบาลไทยต่อทรัมป์







