อย่าให้รู้สึกว่าประเทศนี้ กำลังมีรัฐบาลรักษาการ

อย่าให้รู้สึกว่าประเทศนี้ กำลังมีรัฐบาลรักษาการ

พรรคเพื่อไทยเข้าบริหารราชการแผ่นดินจัดตั้งรัฐบาลผ่านนายกรัฐมนตรี 2 คน ในรอบเกือบ 2 ปี คือ เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นการเข้าบริหารประเทศ

ภายใต้ความคาดหวังที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมให้ดีขึ้น หลังจากที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเป็นเวลา 9 ปี โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้มีการนำเสนอหลายนโยบายที่จะแก้ปัญหาระยะสั้นและระยะยาวให้กับประเทศ รวมถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเรียกร้อง

นโยบายการแจกเงินดิจิทัลเป็นนโยบายที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคาดหวังจะเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจที่จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้มากกว่าปีละ 5% รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จะสร้างพื้นฐานอาชีพให้กับประชาชนในอนาคต โดยเป็นนโยบายสำคัญที่เศรษฐาใช้หาเสียงเลือกตั้งเมื่อปี 2566 แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำได้เพียงการแจกเงินสดแทนการแจกเงินดิจิทัล และเตรียมที่จะยกเลิกนโยบายเพื่อนำงบประมาณไปส่วนรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า

การประกาศเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐเพื่อตอบโต้ประเทศที่ได้เปรียบทางการค้าทั่วโลกส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง รวมถึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 ที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มชะลอตัวลง ในขณะที่การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยลดลง ปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เห็นเป็นรูปธรรม และปัญหาความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงทำให้สถาบันการเงินลดการปล่อยสินเชื่อ
   

สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการไม่ว่าจะเป็นแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นหรือแผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวที่จะช่วยให้ประเทศไทยพ้นจากกับดักรายได้ปานกลางไม่ปรากฏให้เห็นชัดเจน หลายนโยบายแทบไม่มีความคืบหน้าไม่ว่าจะเป็นโครงการแลนด์บริดจ์ หรือโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) รวมถึงการลงทุนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ แม้แต่นโยบายสถานบันเทิงครบวงจรที่หมายมั่นปั่นมือก็ได้ชะลอการเสนอสภาผู้แทนราษฎรแม้จะผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)
   

สิ่งที่น่ากังวลอยู่ที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และปัญหาเศรษฐกิจประเทศหลังจากนี้จะมีมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลกลับบริหารประเทศแบบ wait and see ข้อสั่งการเชิงนโยบายของรัฐบาลมีให้เห็นไม่มาก พรรคร่วมรัฐบาลช่วงชิงสร้างผลงานเพื่อพรรคของตัวเอง จึงไม่เห็นภาพของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนนโยบายในภาพใหญ่ได้ พรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนหลายนโยบายรัฐแกนนำรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ค่าแรงขั้นต่ำ
   

การทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลทำให้เห็นว่าต้องการรอการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาลเกิดขึ้น จึงทำให้การบริหารราชการแผ่นดินในปัจจุบันเสมือนเป็นการบริหารในสถานการณ์ของรัฐบาลรักษาการที่ไม่ใช่รัฐบาลตัวจริงที่มีอำนาจเต็มในการบริหาร ทั้งที่รัฐบาลในปัจจุบันมีอำนาจเต็มในการกำหนดนโยบายและงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาประเทศได้ รวมถึงมีอำนาจในการกำหนดนโยบายระยะกลางถึงระยะยาว ประเทศมีหลายเรื่องให้วางแผนรับมืออย่าให้รู้สึกว่าอยู่ในช่วงการทำงานของรัฐบาลรักษาการที่ทำอะไรได้ไม่เต็มที่