IMF ห่วง 'หนี้สาธารณะไทย' เกินค่าเฉลี่ยอาเซียน แนะรัฐทำนโยบายอย่างรอบคอบ

IMF ห่วงหนี้สาธารณะไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนที่ประมาณ 60% ของ GDP แนะรัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังอย่างรอบคอบ
ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดประมาณการ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงเหลือ 2.8% จากคาดการณ์เดิมที่ 3.3%
มากไปกว่านั้น ในช่วงเช้าของวันที่ 23 เม.ย.68 ตามเวลา ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประมาณหัวค่ำตามเวลาประมาณประเทศไทย ไอเอ็มเอฟ ออกมาเปิดเผยถึงแนวโน้มภาพรวมหนี้สาธารณะของทั้งโลกในงานแถลงข่าว "Fiscal Monitoring" ในงานประชุม IMF-World Bank Spring Meeting ว่า หนี้สาธารณะของทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นรวมทั้งแสดงความเป็นห่วงหนี้สาธารณะของประเทศไทยมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียนเช่นเดียวกัน
อีรา ดาบลา-นอร์ริส รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของไอเอ็มเอฟ ตอบคำถามจากผู้สื่อข่าวจาก "กรุงเทพธุรกิจ" ถึงสถานการณ์หนี้สาธารณะของอาเซียน และประเทศไทยว่า ฐานะการคลังในกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยภาพรวมอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ในภูมิภาคอาเซียนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีระดับหนี้สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเล็กน้อย โดยอยู่ที่ระดับสูงกว่า 60% ของ GDP ทำให้ไอเอ็มเอฟแนะนำให้รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายการคลังอย่างรอบคอบ และประหยัด
อีรา ดาบลา-นอร์ริส รองผู้อำนวยการฝ่ายกิจการการคลังของไอเอ็มเอฟ
“โดยเฉลี่ยในภูมิภาคอาเซียน อัตราส่วนหนี้ต่อจีดีพีนั้นต่ำกว่าในเศรษฐกิจเกิดใหม่ และกำลังพัฒนาอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ระดับหนี้มีมูลค่าสูงกว่าเล็กน้อย โดยอยู่ที่กว่า 60% ของจีดีพี”
หนี้สาธารณะโลกพุ่งจ่อแตะ 100%
ด้าน นายเมาริซิโอ โซโต ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลังสาธารณะจากไอเอ็มเอฟว่า หนี้สาธารณะโลกจะเพิ่มสูงขึ้นเกิน 95% ของ GDP ในปี 2025 ซึ่งสูงกว่า และขยายตัวเร็วกว่าช่วงการระบาดของโควิด-19 และมีแนวโน้มจะเข้าใกล้ 100% ของ GDP ภายในสิ้นทศวรรษนี้ ซึ่งสูงกว่าจุดสูงสุดในช่วงการระบาดของโควิด-19
ดังนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของแต่ละประเทศต้องดำเนินนโยบายทางการคลังอย่างเร่งด่วน และเด็ดขาดเพื่อสร้างเสถียรภาพ และมุ่งลดหนี้สาธารณะของประเทศ
"ในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูงนี้ นโยบายการคลังต้องเป็นจุดยึดสำหรับความเชื่อมั่น และเสถียรภาพที่มีส่วนช่วยในการสร้างเศรษฐกิจที่แข่งขันได้ ส่งมอบการเติบโต และความมั่งคั่งสำหรับทุกคน" นายโซโต กล่าว พร้อมเน้นย้ำว่ารัฐมนตรีการคลังต้องสร้างความไว้วางใจที่จัดเก็บภาษีอย่างเป็นธรรม ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด และมองการณ์ไกล
“คลัง” จ่ออัดเม็ดเงินกว่า 5 แสนล้าน กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศทั้งหมด โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อน ซึ่งมองว่าน่าจะใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท
โดยจะโฟกัสเม็ดเงิน 3 ส่วน คือ 1.การกระตุ้นการบริโภค 2.การลงทุนในประเทศ 3.การออกซอฟต์โลน ส่วนที่มาของแหล่งเงินจะต้องดูเพราะมีหลายทาง โดยขณะนี้ได้หารือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใกล้ชิด
นายพิชัย ตอบคำถามประเด็นแหล่งเงินจะกระทบหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ว่า ไม่อยากให้มองเรื่องหนี้เพราะหลายประเทศมีหนี้สูง แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การใช้เงินทำอะไร ซึ่งถ้าทำให้ขนาดเศรษฐกิจเติบโตกว่าเดิมจะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีลดลง
รายงานสดโดย สาธิต สูติปัญญา ผู้สื่อข่าวจากกรุงเทพธุรกิจ ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์