'โนมูระ' คาด ธปท. ลดดอกเบี้ยรุนแรง สู่ระดับ 1% ภายใน Q1/2569 กระตุ้นเศรษฐกิจ

ธนาคารแห่งประเทศไทย ปรับโฟกัสเน้นการเติบโต "โนมูระ" คาดไทยลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 4 ครั้ง สู่ระดับ 1% ในต้นปี 2569
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ 2.0% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณบางอย่างถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของนโยบายการเงินของไทย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
รายงานการประชุมของคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) ฉบับเดือนก.พ. ระบุอย่างชัดเจนว่า "ความเสี่ยงสำหรับนโยบายการเงินได้เปลี่ยนไปสู่แนวโน้มเศรษฐกิจ" ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ "ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ" จากปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- ความท้าทายในภาคการผลิตในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
- สภาวะการเงินที่ตึงตัวของภาคครัวเรือน และธุรกิจ ซึ่งกดดันการบริโภค และการลงทุน
- ความเสี่ยงจากสงครามการค้าโลกที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะนโยบายภาษีของสหรัฐ
การลดประมาณการเติบโตของ GDP ปี 2568 ลงเหลือเพียงกว่า 2.5% จากเดิมที่ 2.9% ในประมาณการเดือนธ.ค.2567 ยิ่งตอกย้ำถึงมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นของธนาคารกลางต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
โนมูระคาดการณ์การลดดอกเบี้ยเชิงรุก 100 เบสิส พอยต์ ภายในต้นปี 2569
โนมูระ โฮลดิงส์ อิงค์ ได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยของไทยเป็นสองเท่า โดยมองว่า ธปท. จะดำเนินนโยบายเชิงรุกด้วยการลดดอกเบี้ยรวม 100 เบสิสพอยต์ ภายในไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงสู่ระดับ 1%
ทั้งนี้ โนมูระคาดการณ์รอบการลดดอกเบี้ยที่ชัดเจน โดยระบุว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 25 เบสิสพอยต์ในเดือนมิ.ย. ต.ค. ธ.ค. 2568 และก.พ. 2569 ตามลำดับ
สาเหตุที่โนมูระมองว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง มาจากการประเมินว่า "ความรู้สึกในท้องถิ่นกำลังแย่ลง ท่ามกลางการปั่นป่วนของตลาดหุ้น และปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีแนวโน้มการปฏิรูปจากรัฐบาลที่จำกัด" ตามที่ นายชานนท์ บุญนุช นักเศรษฐศาสตร์จากโนมูระได้ให้ความเห็นไว้
มุมมองที่แตกต่างใน กนง. และความเสี่ยงในอนาคต
แม้ กนง. จะมีมติด้วยเสียง 6 ต่อ 1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งล่าสุด แต่รายงานการประชุมยังสะท้อนถึงความเห็นที่แตกต่างในคณะกรรมการ สมาชิก 1 ท่านที่ลงคะแนนเสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ "ให้ความสำคัญมากกว่ากับการรักษาพื้นที่นโยบายการเงินเพื่อจัดการกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต"
นอกจากนี้ ธปท. ยังย้ำว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.พ. "ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรการผ่อนคลาย" และสมาชิกบางท่านของ กนง. ยังเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ยังคงมีความแข็งแกร่งเพียงพอในการเผชิญกับความไม่แน่นอนในอนาคต
มุมมองที่แตกต่างนี้สะท้อนการประเมินความเสี่ยงที่แตกต่างกันระหว่างการมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น กับการรักษาพื้นที่ทางนโยบายไว้สำหรับอนาคตที่อาจมีความผันผวนสูงขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบเศรษฐกิจไทย
รายงานการประชุม กนง. ยังได้ระบุถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ได้แก่:
- นโยบายภาษีการค้าของสหรัฐ - ในกรณีที่สหรัฐ เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 30% และกำหนดภาษีนำเข้า 10% สำหรับสินค้าจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง (รวมถึงไทย) อาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยลดลง 0.3-0.5% จากกรณีพื้นฐาน
- การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่สม่ำเสมอ - ภาคบริการได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยว และการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ภาคการผลิต และอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญความท้าทาย
ความเห็น และมุมมองต่อทิศทางนโยบายการเงินในอนาคต
การเปลี่ยนแปลงโฟกัสของ ธปท. มาเน้นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นอาจนำไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางการลดดอกเบี้ยในอนาคตจะขึ้นอยู่กับ:
- ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงครึ่งปีแรก - หากตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอกว่าที่คาด การลดดอกเบี้ยเชิงรุกตามที่โนมูระคาดการณ์ไว้มีโอกาสเกิดขึ้นสูง
- นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) - การตัดสินใจของเฟดในการลดอัตราดอกเบี้ยจะมีอิทธิพลต่อทิศทางนโยบายการเงินของไทยอย่างมีนัยสำคัญ
- ความเสี่ยงจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ - หากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ กับจีนรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย อาจกดดันให้ ธปท. ต้องลดดอกเบี้ยเร็ว และมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
อ้างอิง: Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







