เสียงสะท้อนโครงไฟฟ้าพลังน้ำ “เขื่อนสานะคาม”ที่ฝั่งสปป.ลาว

สทนช. เปิดเวทีเก็บข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม สปป.ลาว ครั้งที่3 สะท้อนข้อกังวลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ป้องกันผลกระทบข้ามพรมแดนต่อจังหวัดริมแม่น้ำโขงก่อนเสนอต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
นายสุรสีห์ กิตติมณฑลเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดเวทีให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม สปป.ลาว ครั้งที่3 ว่า เพื่อรับฟังเสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ทั้งข้อคิดเห็นและข้อห่วงกังวลต่อผลกระทบสะสมในการก่อสร้างเขื่อนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งก่อนหน้านี้ประชาชนมีข้อห่วงกังวล ในด้านอุทกวิทยา เช่น การเกิดอุทกภัยฉับพลัน ความมั่นคงของโครงสร้างของเขื่อน การขึ้นลงของน้ำที่ผิดปกติไม่ถูกต้องตามฤดูกาล การกัดเซาะและการพังทะลายของตลิ่ง
ด้านการประมงและระบบนิเวศ เช่น ความสมบูรณ์ของทั้งชนิดและพันธุ์ปลาจะลดลงส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตของปลาแม่น้ำโขง พื้นที่ชุ่มน้ำ/บุ่งทามลดลง ต้นไคร้-สาหร่ายไกตาย ด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การสูญเสียรายได้จากอาชีพประมงและเกษตรริมฝั่ง การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เป็นต้น
“การจัดเวทีให้ข้อมูลโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคามมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเวทีที่ประชาชนสามารถซักถามและแสดงความเห็นเกี่ยวกับโครงการได้ในทุกมิติ ทั้งนี้ ความวิตกกังวลต่อผลกระทบจากการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงเป็นที่รับรู้กันทั่วไป ตั้งแต่ระดับนานาชาติจนถึงระดับชุมชนในพื้นที่”
สทนช. จะนำไปจัดทำความเห็นของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และแจ้งประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2538 หรือMRC4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เวียดนาม และไทย โดยแจ้งเป็นเอกสารตอบกลับ หรือที่เรียกว่าReply Formตามขั้นตอนที่ได้ตกลงร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก
การดำเนินงานในแม่น้ำโขง เป็นการดำเนินงานระหว่างประเทศสมาชิกMRC4 ประเทศเพื่อให้ความร่วมมือในด้านต่างประเทศมีความเรียบร้อย ประเทศสมาชิกได้มีการตกลงกันว่าจะทำงานร่วมกันอย่างไรในเรื่องต่างๆ เป็นหลักการไว้แล้ว ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน และกระบวนการปฏิบัติต่างๆ โดยแต่ละประเทศมีหน้าที่ที่จะดำเนินการตามข้อตกลงนั้น
สำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม เป็นโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขง ประเทศสมาชิกมีข้อตกลงกันว่า ก่อนจะก่อสร้าง ต้องนำรายละเอียดมาหารือกันก่อน เพื่อให้แต่ละประเทศให้ความเห็นต่อโครงการ และในการให้ความเห็นนั้น จะต้องส่งความเห็นผ่านแบบตอบกลับ ตามกระบวนการหารือล่วงหน้า หรือPC:Prior Consultationซึ่งเป็นตัวย่อยจากกระบวนการใหญ่ที่เรียกว่าPNPCAโดย สปป.ลาว ได้เสนอโครงการไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสานะคาม ผ่านสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2562 เพื่อเข้าสู่กระบวนการPNPCAโดยโครงการเริ่มกระบวนการPNPCAเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2563 ซึ่งยังอยู่ในช่วงการระบาดของโควิด- 19
“ตั้งแต่เริ่มกระบวนการหารือ ประเทศไทยยืนยันมาโดยตลอดว่า เราจำเป็นต้องทราบผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย ซึ่งข้อมูลที่ได้รับในขณะนั้น ยังไม่มีในส่วนนี้ การเจรจากับ สปป.ลาว และ MRCSจึงดำเนินการมาโดยตลอด แม้กระทั่งปลายปี 2564 เราก็ยังไม่ได้รับข้อมูล ”
ในช่วงนั้น สทนช. ได้จัดจัดเวทีสาธารณะล้อมวงคนริมโขง 1 ครั้ง ที่จังหวัดเลย เพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ หลังจากเวทีปี 2564 คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติลาว และMRCSก็ทำงานในเรื่องจัดทำข้อมูลเพิ่มเติมต่อมา จนถึงวันนี้ ไทยได้รับข้อมูลในเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศไทยในด้านต่างๆ ครบทั้ง 3 ส่วนแล้ว ได้แก่ ส่วนที่ 1 คือ ด้านอุทกวิทยา/ชลศาสตร์ ตะกอน ความปลอดภัยของเขื่อน ส่วนที่ 2 คือ ด้านสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพและการประมง และส่วนที่ 3 คือ ด้านเศรษฐกิจและสังคม
คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีความกังวลเรื่องผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทยอย่างมาก ได้กำชับให้ สทนช. ดำเนินการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน และสรุปรวบรวมความเห็นอย่างรอบคอบ ทั้งความเห็นจากประชาชน หน่วยงาน และนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยึดประโยชน์ประเทศเป็นสำคัญและคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย ซึ่งเวทีรับฟังความเห็นกรณีเขื่อนสานะคาม สปป.ลาว ครั้งที่ 4 ครั้งสุดท้าย จะจัดขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อรวบรวมจัดทำความเห็นของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เสนอต่อรัฐบาลผ่านคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยและเสนอต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง พิจารณาต่อไป