ยักษ์อสังหาฯ จีน ‘Evergrande’ ฉาวโฉ่ไม่หยุด แค่ 2 ปี ปลอมรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท

ยักษ์อสังหาฯ จีน ‘Evergrande’ ฉาวโฉ่ไม่หยุด  แค่ 2 ปี ปลอมรายได้ 2.8 ล้านล้านบาท

มรสุม “Evergrande” ยังไม่จบ ล่าสุดบริษัทถูกทางการจีนตั้งข้อหาปลอมรายได้บริษัทสูงกว่า 2.8 ล้านล้านบาท อีกทั้งยังปลอมส่วนกำไรด้วย จนสะเทือนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อการฟื้นตัวของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่นี้

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของจีน (CSRC) ว่า บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์จีน “ปลอมรายได้” ของบริษัทให้สูงเกินจริงมากกว่า 78,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2.8 ล้านล้านบาทในช่วง 2 ปีก่อนที่จะประสบปัญหาทางการเงิน

จุดที่ CSRC พบหลักฐานก็คือ บริษัทเหิงต้า เรียลเอสเตท กรุ๊ป (Hengda Real Estate Group) บริษัทลูกของ Evergrande ได้เพิ่มรายได้ในปี 2562 ราว 214,000 หยวนล่วงหน้าก่อนรับรู้รายได้จริง และเพิ่มรายได้อีก 350,000 ล้านหยวนในผลประกอบการปี 2563 โดย ฮุย คายัน (Hui Ka-yan) ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ได้สั่งพนักงานปลอมผลประกอบการ 2 ปีของเหิงต้าขึ้นมา อีกทั้งใช้ตัวเลขที่ดีเกินจริงนี้ในการขายหุ้นกู้มูลค่า 20,800 ล้านหยวนแก่นักลงทุน

ด้วยเหตุนี้ CSRC จึงสั่งปรับฮุย คายัน 47 ล้านหยวนในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และแบนเขาจากการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด ส่วนบริษัทเหิงต้า ถูกปรับ 4,180 ล้านหยวน ในข้อหาประพฤติมิชอบทางการเงิน

เมื่อย้อนดูอดีตชีวิตฮุย คายันที่ผ่านมา เขาเคยอยู่ในจุดสูงสุดมาก่อน ครั้งหนึ่งเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในเอเชียด้วยทรัพย์สิน 42,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2560 อสังหาริมทรัพย์ของเขากลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และใช้เงินกู้จำนวนมากเพื่อขยายการเติบโต แต่เมื่อรัฐบาลจีนหันมาเข้มงวดด้านระเบียบกู้ยืม วิกฤติโควิด-19 ไปจนถึงเศรษฐกิจชะลอตัว จึงเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ฉุดชีวิตอันรุ่งโรจน์ของเขาลง

นอกจากนี้ CSRC ระบุว่า “รายได้” ของเหิงต้าที่ดีเกินจริงนั้น คิดเป็นสัดส่วนครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมดในปี 2562 และคิดเป็นสัดส่วน 79% ในปี 2563 ขณะที่ส่วน “กำไร” ก็ถูกบันทึกด้วยตัวเลขเกินจริงไป 63% และ 87% ในปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ

ที่ผ่านมา ช่วง ก.ย. 2566 ฮุยถูกตำรวจจีนควบคุมตัวฐานต้องสงสัยก่ออาชญากรรม แต่ยังไม่ได้ถูกตั้งข้อหาอาชญากรรม อีกทั้งไม่มีการเปิดเผยที่อยู่ของเขา และฮุยเผชิญโทษปรับทางแพ่งเท่านั้น โดยตัวเขาและพรรคพวกสามารถสู้คดีที่ถูก CSRC กล่าวหาได้ แต่บริษัทลูกอย่างเหิงต้าเลือกที่จะสละสิทธิ์สู้คดีดังกล่าว ตามข้อมูลไฟลลิ่งของบริษัท

อ้างอิง: bloomberg