ทำไม ‘Apple’ เลิกโครงการรถ EV แบบไม่คาดฝัน ทั้งที่ทุ่มเทมากว่า 10 ปี

ทำไม ‘Apple’ เลิกโครงการรถ EV แบบไม่คาดฝัน ทั้งที่ทุ่มเทมากว่า 10 ปี

เปิด “3 สาเหตุสำคัญ” ที่ทำให้ “Apple” (แอปเปิ้ล) ตัดสินใจทิ้งโครงการพัฒนารถ EV แม้จะวิจัยมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม

KEY

POINTS

  • กว่า 80% ของผู้ผลิตรถ EV จีนกลับอยู่ไม่รอด จากเดิมที่เคยมีบริษัทรถ EV เกือบ 500 รายเมื่อปี 2562 แต่มีปิดกิจการไปราว 400 ราย เหลือเพียงราว 100 รายในปัจจุบันที่ยังอยู่รอด
  • ถ้ามีคนตัดหน้าถนนเข้ามา รถขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ Apple พัฒนา จะตัดสินด้วยฐานเหตุผลอะไร “ขับชน” คนตัดหน้าเพื่อปกป้องคนในรถ หรือ “เบี่ยงหลบ” แต่ก็เสี่ยงชนรถข้างเคียง
  • ในปัจจุบัน สหรัฐมีแท่นชาร์จสาธารณะสำหรับรถ EV มากกว่า 160,000 จุดทั่วประเทศแล้ว แต่จำเป็นต้องมีอีก 1.2 ล้านจุดชาร์จ เพื่อรองรับรถ EV ภายในปี 2573

เปิด “3 สาเหตุสำคัญ” ที่ทำให้ “Apple” (แอปเปิ้ล) ตัดสินใจทิ้งโครงการพัฒนารถ EV แม้จะวิจัยมากว่า 10 ปีแล้วก็ตาม

คำถามตอนนี้ของใครหลายคน คือ “Apple” (แอปเปิ้ล) บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และเป็นเจ้าแห่งนวัตกรรมต่าง ๆ อย่าง iPhone แต่เหตุใดถึงล้มเลิกโครงการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปเช่นนั้น ทั้งที่ทุ่มเทมากว่า 10 ปี และใช้งบประมาณทดลองต่าง ๆ เป็นจำนวนเงินไม่น้อย

หากส่องอุตสาหกรรมรถยนต์ EV จะพบว่าเป็น “ตลาดแดงเดือด” ที่แข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก เมื่อพิจารณาปัจจัยกดดันรอบด้าน จะพบ “3 ปัจจัยสำคัญ” ที่อาจเป็นสาเหตุทำให้ Apple ตัดสินใจเลิกพัฒนา EV กลางคัน ดังนี้

1. EV เป็นตลาดเลือดสาด

เมื่อเอ่ยถึงตลาดรถ EV ก็ต้องดูที่จีน เนื่องจากจีนเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า “มากที่สุด” ในโลก และมียี่ห้อรถ EV มากมายจนนับไม่ถ้วน แต่รู้หรือไม่ว่า กว่า 80% ของผู้ผลิตรถ EV จีนกลับอยู่ไม่รอด จากเดิมที่เคยมีบริษัทรถ EV เกือบ 500 รายเมื่อปี 2562 แต่มีปิดกิจการไปราว 400 ราย เหลือเพียงราว 100 รายในปัจจุบันที่ยังอยู่รอด ซึ่งก็หนีไม่พ้นแบรนด์ BYD, CHANGAN, SAIC ฯลฯ

ยิ่งในปัจจุบัน EV จีนรุกตลาดทั่วโลก จนแม้แต่ Tesla ที่เด่นด้านนวัตกรรมยังต้องหั่นราคารถลงมากถึง 20% เพื่อทำสงครามราคารถกับจีน ซึ่งเรื่องเทคโนโลยี รถ BYD ก็เด่นไม่แพ้รถตะวันตก ดังจะเห็นจาก “Blade Battery” ของ BYD เหล่าค่ายรถ Mercedes-Benz, Tesla, Ford, Toyota และ Hyundai ต่างหันมาใช้แบตเตอรี่สุดล้ำของจีนนี้แล้ว

ด้วยเหตุนี้ ถ้า Apple หันมาลงแข่งในอุตสาหกรรมนี้ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำสงครามราคา และไม่แน่นอนว่าจะสร้างกำไรได้จริงหรือไม่ หรือเป็นตัวฉุดผลประกอบการโดยรวมแทน

กิล ลูเรีย (Gil Luria) นักวิเคราะห์ด้านซอฟต์แวร์และเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทด้านการลงทุน D.A. Davidson ให้ความเห็นว่า Apple ได้กำไรสูงในส่วนธุรกิจอื่นอยู่แล้ว และถ้าลงมาสู้ในตลาด EV ก็ไม่ง่ายที่จะทำกำไร เพราะมีอัตรากำไรต่ำและแข่งขันสูง อีกทั้งอาจไม่คุ้มค่ากับเวลาที่ทุ่มเทด้วย

ทำไม ‘Apple’ เลิกโครงการรถ EV แบบไม่คาดฝัน ทั้งที่ทุ่มเทมากว่า 10 ปี

2. รถไร้คนขับกับเรื่องปวดหัวความปลอดภัย

แน่นอนว่ารถที่ Apple ซุ่มพัฒนาคงไม่ใช่รถยนต์ทั่วไปที่ขับโดยมนุษย์ แต่เป็น “รถยนต์ขับเองอัตโนมัติ” ซึ่งเป็นที่คาดว่าจะมีราคาราว 100,000 ดอลลาร์หรือราว 3.6 ล้านบาท แต่ความล้ำเช่นนี้ก็มาพร้อมโจทย์ที่ยากขึ้นด้วย เพราะจุดสำคัญที่สุด คือ “ความปลอดภัย” ซึ่งในระหว่างที่รถขับเคลื่อนเอง หากเกิดระบบขัดข้องจนออกนอกเส้นทาง หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้น แบรนด์ Apple ที่สั่งสมมาคงได้รับผลกระทบไม่น้อย

สิ่งที่เห็นคือ เดิมทีในช่วงปลายปี 2565 Apple เคยกล่าวว่า เตรียมเปิดโมเดลรถขับเคลื่อนอัตโนมัติภายในปี 2569 แต่ต่อมา Apple ก็ “เลื่อน” แผนเปิดตัวเป็นภายในปี 2571 แทน และล่าสุดก็ล้มเลิกโครงการรถ EV   

อีกหนึ่งปัญหาด้านจริยธรรม คือ ในขณะรถยนต์ไร้คนขับกำลังวิ่ง แล้วเผชิญ “เหตุสุดวิสัย” มีคนตัดหน้าถนนเข้ามา รถอัตโนมัตินี้จะตัดสินใจด้วยฐานเหตุผลอะไรขับชน” คนที่ตัดหน้าเพื่อปกป้องคนในรถ หรือ “เบี่ยงหลบ” เพื่อเลี่ยงการชนคนข้างหน้า แต่ก็เสี่ยงชนรถข้างเคียงจนอาจเป็นอันตรายต่อเจ้าของรถแทน

3. โครงสร้างพื้นฐาน EV ยังคงขาดแคลนในสหรัฐ

เมื่อมีรถยนต์ EV ก็ต้องมาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานอย่างแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วย คล้ายสตรีมมิ่งภาพยนตร์ Netflix ที่บูมไปทั่วโลกได้ ก็เพราะการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงง่ายกว่าสมัยก่อน ฉันใดก็ฉันนั้น แท่นชาร์จ EV ในปัจจุบันยังไม่ค่อยครอบคลุมทั่วสหรัฐ จึงอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ชาวอเมริกันไม่น้อย ยังไม่ตัดสินใจเปลี่ยนรถใช้น้ำมันเป็นรถ EV แบบเต็มตัว

ข้อมูลจากห้องปฏิบัติการพลังงานทดแทนแห่งชาติของกระทรวงพลังงานสหรัฐ (The National Renewable Energy Laboratory) ระบุไว้ว่า ในปัจจุบัน สหรัฐมีแท่นชาร์จสาธารณะสำหรับรถ EV มากกว่า 160,000 จุดทั่วประเทศแล้ว แต่จำเป็นต้องมีอีก 1.2 ล้านจุดชาร์จ เพื่อรองรับรถ EV ภายในปี 2573

ด้วย 3 เหตุผล ไม่ว่าจะเป็นตลาด EV ที่แข่งขันราคาอย่างรุนแรงซึ่งต้องชนกับจีน ความท้าทายในการพัฒนารถ EV อัตโนมัติให้มนุษย์ไว้ใจได้ และโครงสร้างพื้นฐาน EV ที่ยังไม่สอดรับกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ Apple ตัดสินใจทิ้งโครงการพัฒนา EV และหันมาทุ่มด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเติบโตเร็วในขณะนี้แทน

อ้างอิง: cbsnewsกรุงเทพธุรกิจกรุงเทพธุรกิจ2bloombergbloomberg(2)qz