ส่อง ‘ARM’ ซูเปอร์สต็อกตัวใหม่? ออกแบบ 90% ของชิปสมาร์ตโฟนโลก

ส่อง ‘ARM’ ซูเปอร์สต็อกตัวใหม่? ออกแบบ 90% ของชิปสมาร์ตโฟนโลก

ส่องธุรกิจหุ้น “ARM” ผู้ออกแบบชิปที่กำลังมาแรง ซึ่งเกือบทุกแบรนด์สมาร์ตโฟนต้องใช้สถาปัตยกรรมชิปจากบริษัทนี้ทั้งสิ้น หลังราคาหุ้นพุ่งสูงสุดกว่า 50% ในวันเดียว จน Forward P/E ขณะนี้แซง Nvidia แล้ว สิ่งนี้บ่งบอกว่า ARM เป็นซูเปอร์สต็อกแห่งยุคตัวใหม่หรือไม่

Key Points

  • “ARM” เป็นบริษัทจากสหราชอาณาจักรที่ออกแบบชิปในสัดส่วน 90% ของสมาร์ตโฟนทั่วโลก
  • ราคาหุ้น ARM ที่พุ่งราว 64% ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าตลาดราว 4.5 ล้านล้านบาท และทำให้ PE ล่วงหน้าของ ARM ถูกซื้อขายกันที่ 90 เท่า สูงกว่าหุ้น Nvidia ที่ 33 เท่า และ AMD ที่ 46 เท่า
  • JPMorgan มองว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน AI ในศูนย์ข้อมูล (Data Center), รถยนต์ไร้คนขับ และระบบเครือข่ายต่างๆ (Internet of Things) ช่วยเพิ่มความต้องการชิปที่ออกแบบโดย ARM


เมื่อโลกทุกวันนี้เข้าสู่เทรนด์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เกือบทุกผลิตภัณฑ์จึงใส่ลูกเล่น AI เข้ามา เพื่อไม่ให้ตกขบวน เช่น สมาร์ตโฟน Samsung Galaxy S24 ที่ใช้ AI เป็นจุดขาย ไม่เว้นแม้แต่ Apple (แอปเปิ้ล) บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ก็ประกาศว่า รอพบ AI ในผลิตภัณฑ์เร็วๆ นี้

กระแสเช่นนี้ นอกจาก Nvidia (อินวิเดีย) ที่ได้ประโยชน์จากการเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลด้าน AI แล้ว ยังมีอีกบริษัทหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์ด้วย นั่นคือ “ARM” (อาร์ม) บริษัทจากสหราชอาณาจักรที่ออกแบบชิปในสัดส่วน 90% ของสมาร์ตโฟนทั่วโลก เรียกได้ว่า เกือบทุกแบรนด์สมาร์ตโฟนต้องใช้แบบสถาปัตยกรรมชิปจาก ARM ทั้งสิ้น ซึ่งรายได้หลักของบริษัท ก็มาจากการขายลิขสิทธิ์แบบให้กับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ นั่นเอง

ความเก่งของบริษัทนี้ ได้ทำให้ Nvidia พยายามซื้อกิจการของ ARM ในปี 2565 ด้วยมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อรุกวงการสมาร์ตโฟน และคุมตลาดเซมิคอนดักเตอร์อย่างครบวงจรมากขึ้น เหมือนดั่งที่ LVMH (แอลวีเอ็มเอช) คุมตลาดแบรนด์แฟชั่น และ Luxottica (ลักซ์โซติก้า) คุมอุตสาหกรรมแว่นตาได้สำเร็จ แต่ดีลซื้อกิจการนี้กลับล่มลง เพราะหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐ สหราชอาณาจักร และสหภาพยุโรป ส่งสัญญาณกดดัน และแสดงความกังวลอย่างมากต่อการควบรวมนี้ที่อาจทำลายการแข่งขันในอนาคต

  • ผลประกอบการดีเกินคาด ดันหุ้นพุ่งติดจรวด

สำหรับผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัท ปรากฏว่าสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ดังนี้

- รายได้ 824 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่เหล่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 763 ล้านดอลลาร์

- กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.29 ดอลลาร์ สูงกว่าที่เหล่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 0.25 ดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ ราคาหุ้น ARM จึงพุ่งสูงสุดถึง 64% ในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.2567) ส่งผลให้บริษัทมีมูลค่าตลาดราว 126,000 ล้านดอลลาร์หรือราว 4.5 ล้านล้านบาท และทำให้ P/E ล่วงหน้าของ ARM ถูกซื้อขายกันที่ระดับ 90 เท่า สูงกว่าหุ้น Nvidia ที่ระดับ 33 เท่า และ AMD ที่ระดับ 46 เท่า ส่วนราคาหุ้นในปัจจุบัน (9 ก.พ.2567) ได้ปรับตัวลงเล็กน้อย โดยอยู่ที่ราว 114 ดอลลาร์

ผลประกอบการที่ดีเช่นนี้ บริษัท ARM จึงปรับมุมมองอนาคตของปี 2567 สูงขึ้น ดังนี้

- จากกำไรสุทธิต่อหุ้นที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 1-1.10 ดอลลาร์ ปรับขึ้นเป็น 1.20-1.24 ดอลลาร์

- จากยอดขายที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2,960-3,080 ล้านดอลลาร์ ปรับขึ้นเป็น 3,160-3,210 ล้านดอลลาร์

ล่าสุด เรเน ฮาส (Rene Haas) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ ARM ให้ความเห็นเกี่ยวกับบริษัทตัวเองว่า “หลายผลิตภัณฑ์ด้าน AI ที่คุณเห็นมา ไม่ว่าจะเป็นชิป NVIDIA Grace Hopper 200 ในการประมวลผลด้าน AI, สมาร์ตโฟน Google Pixel 6 ที่ใช้โมเดล AI Gemini, สมาร์ตโฟน Samsung Galaxy S24 ที่มาพร้อมฟังก์ชัน AI ล้วนทำงานอยู่บนสถาปัตยกรรมชิปแบบ ARM ทั้งสิ้น”

  • 2 แบงก์ยักษ์ใหญ่ มองบวกแนวโน้ม ARM

ด้านธนาคาร JPMorgan มองว่า การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งาน AI ในศูนย์ข้อมูล (Data Center), รถยนต์ไร้คนขับ และระบบเครือข่ายต่างๆ (Internet of Things) ช่วยเพิ่มความต้องการชิปที่ออกแบบโดย ARM และมีแนวโน้มทำให้อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้นของรายได้บริษัท อยู่ที่ 18% ใน 3 ปีข้างหน้า จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน พร้อมให้เป้าหมายราคาที่ 100 ดอลลาร์ จากเป้าหมายเดิมที่ 70 ดอลลาร์

ขณะที่ธนาคาร Goldman Sachs ก็ปรับคำแนะนำเป็นซื้อเช่นกัน โดยมองว่าการเติบโตของ Data Center และบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่ต้องร่วมมือกับ ARM อย่าง Amazon (อเมซอน​)​, Microsoft (ไมโครซอฟท์​)​ และ Nvidia (อินวิเดีย)​ จะเป็นตัวพารายได้เติบโตไปด้วยกัน จึงให้เป้าหมายราคาที่ 95 ดอลลาร์ จากราคาเดิมที่ 65 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม แม้เหล่านักวิเคราะห์จะออกมาแนะนำซื้อหุ้น นักลงทุนอาจจำเป็นต้องทำการบ้านก่อนการลงทุนว่า ราคาที่พุ่งขึ้น 50-60% ในวันเดียวนี้ แพงเกินไปหรือไม่เมื่อเทียบกับการเติบโตในอนาคต เพราะอาจจะเป็นราคาที่สูงเกินไป หรือเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของรอบขาขึ้นเท่านั้นเหมือนหุ้น Apple ซึ่งจุดแตกต่างระหว่างหุ้นสหรัฐกับหุ้นไทยคือ หุ้นสหรัฐไม่มีกรอบราคา “สูงสุด” (Ceiling) หรือ “ต่ำสุด” (Floor) ในวัน จึงทำให้ราคาสามารถพุ่งแรงสูงถึง 100% หรือดิ่งลง 80% ก็ได้เช่นกัน ซึ่งควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน

อ้างอิง: businessกรุงเทพธุรกิจcnbcinvestors

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์