‘รัฐบาลใหม่’ ต้องมีเสถียรภาพ

‘รัฐบาลใหม่’ ต้องมีเสถียรภาพ

ท่ามกลางฤดูการย้ายฐานการผลิตจากบางประเทศเข้ามาในอาเซียน ประเทศไทยก็ต้องแสดงให้เห็นว่า เรามีความพร้อม มีนโยบายในการดึงการลงทุน

ไทม์ไลน์ของการจัดตั้งรัฐบาลใกล้ถึงเส้นชัยเข้ามาทุกที แม้จะใช้เวลานานแสนนาน ระหว่างทางก็มีเรื่องราว ปมขัดแย้ง ความไม่ลงรอย เกิดความเห็นต่างในหลากหลายมุมมากมาย มองให้บวกก็นับว่าเป็นความสวยงามของประชาธิปไตย

วันที่ 3 ก.ค.ที่จะถึงนี้  จะมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และหลังจากนั้น จะเข้าสู่ขั้นตอนการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทุกฝ่ายกำลังจับตาดู ไม่เพียงแค่หน้าตารัฐบาล แต่เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมีผลต่อการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินและเศรษฐกิจ

อาจารย์กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) วิเคราะห์ไว้ได้น่าสนใจ โดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง ที่อาจขยายตัวเพิ่มได้ ด้วยปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แรงงานที่อยู่ในภาคการท่องเที่ยวกว่า 10 ล้านคน เริ่มมีรายได้เพิ่มในปีนี้ มีคำแนะนำว่า เมื่อเราวาดหวังให้ ภาคการท่องเที่ยว เป็นฮีโร่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย

ดังนั้นอะไรที่เป็นอุปสรรคต่อเรื่องท่องเที่ยว รัฐบาลต้องแก้ไขให้หมด ขณะเดียวกันแรงส่งเศรษฐกิจที่สำคัญอีกส่วน มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของเกษตรกร ที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้น และจะเพิ่มมากขึ้นจากปัญหาภัยแล้ง ที่ทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับตัวสูง

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของครึ่งปีหลังปี 2566 อาจารย์กอบศักดิ์ ประเมินว่า ที่สำคัญ คือ ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจจีน

ทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งกันที่ยังไม่มีข้อยุติ หาจุดที่เห็นตรงกันไม่ได้ นั่นทำให้บรรยากาศการลงทุน การค้าโลกเสียไป ผนวกกับการที่เศรษฐกิจยุโรปก็อ่อนแอ ซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจโลกและกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็ติดลบมาโดยตลอด

ดังนั้น รัฐบาลใหม่ ที่กำลังจะได้คำตอบว่าจะจัดตั้งกันอย่างไร จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสายตานักลงทุนทั่วโลกก็จับจ้องมองอยู่ อยากเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพบริหารงานได้ในระยะต่อไปด้วย

ท่ามกลางฤดูการย้ายฐานการผลิตจากบางประเทศเข้ามาในอาเซียน ประเทศไทยก็ต้องแสดงให้เห็นว่า เรามีความพร้อม มีนโยบายในการดึงการลงทุน หากไทยไม่โชว์ศักยภาพที่เจิดจรัสมากพอ คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่เราอาจต้องสูญเสียเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมูลค่ามหาศาลไปให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ที่วันนี้เขามีความพร้อมมากกว่าเรา..