อัปเดต 7 ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรจับตามอง

อัปเดต 7 ประเด็นที่ผู้ประกอบการควรจับตามอง

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ไม่น่าเชื่อนะครับ นี่ก็ผ่านมาเข้าสู่เดือนที่ 6 ครึ่งปีกันแล้ว แต่ละท่านเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ช่วงนี้ประเทศเราก็เข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนถ่ายจากรัฐบาลเก่าสู่รัฐบาลใหม่ 

รวมถึงตลาดโลกก็มีการเปลี่ยนแปลงขยับตัวกันมากขึ้นหลังจากโควิดเริ่มซาลงไป สำหรับผู้ประกอบการ การปรับตัวให้อยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด วันนี้ผมมีผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Investment Advisory Security Co., Ltd. คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® จะมาหยิบยก 7 ประเด็นที่น่าสนใจที่ชาวผู้ประกอบการควรจับตามอง เพื่อเตรียมรับมือมาฝากกันครับ

เรื่องแรกเลยก็คือ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจจะปรับขึ้นหลังการเลือกตั้ง สำหรับธุรกิจที่ต้องใช้คนจำนวนมาก เช่นกลุ่มธุรกิจบริการ ค่าแรงพนักงาน ถือเป็นรายจ่ายหลักของธุรกิจ ดังนั้น การติดตามเรื่องการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร และเพิ่มเป็นเท่าไรนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญ รวมไปถึงการวางแผนแต่เนิ่นๆว่าจะปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างไร เพราะอย่าลืมว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ในความเป็นจริงไม่ได้แค่เป็นการขึ้นค่าแรงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึง เงินประกันสังคม เงินกองทุน เงินกองทุนทดแทน เงินชดเชยกรณีให้ออกจากงาน ที่จะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกด้วย การนำเทคโนโลยี หรือ เครื่องจักรมาใช้ หรือปรับสวัสดิการบางอย่าง ที่เคยให้อยู่เป็นเงินแทน ก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้ครับ

เรื่องที่สอง เรื่องของดอกเบี้ยนโยบาย โดยเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ทางกนง. ได้มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.75% ขึ้นเป็น 2% โดยดอกเบี้ยนโยบายนี้จะมีผลให้ ธนาคาร ปรับดอกเบี้ยขึ้นทั้งในส่วนของ ดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝาก นั่นจะทำให้ ธุรกิจที่มีสินเชื่อกู้ยืม จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการต้องคอยจับตาดูดอกเบี้ยสินเชื่อของท่านอยู่เสมอว่ามีการปรับไปในทิศทางใด และส่งผลกระทบต่อธุรกิจของท่านมากแค่ไหน ผู้ประกอบการอาจจะต้องพิจารณา เพิ่มราคาสินค้า หรือลดต้นทุน เพื่อชดเชยกับต้นทุนที่สูงขึ้นครับ

เรื่องที่สาม สำหรับเรื่องราคาพลังงาน ที่ขณะนี้ ราคาน้ำมัน ได้ปรับลดลงมาเป็นจำนวนมากแล้ว จากจุดสูงสุดที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปีก่อนลงมาเหลือประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และทางรัฐบาลใหม่ก็มีแผนการที่จะ ปรับโครงสร้างพลังงานใหม่ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ ค่าไฟถูกลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการ มีต้นทุนที่ถูกลง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องคอยจับตาว่าการปรับโครงสร้างพลังงานจะสำเร็จเมื่อไร และจะมีผลเมื่อไร ส่วนน้ำมันนั้นราคาลงมาค่อนข้างมากแล้ว คาดว่า เราจะได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลงในไม่ช้าครับ

เรื่องที่สี่ เป็นอีกเรื่องที่ควรจะจับตาก็คือ ในเรื่องของการทำ FTA เพื่อเปิดการค้าขายกับประเทศอื่นๆ โดยหลังจากผ่านการระบาดของโควิดมานั้น หลายๆประเทศเริ่มที่จะเปิดประเทศมากขึ้น และมองหาโอกาสในการทำการค้ากับต่างประเทศมาขึ้น สำหรับไทยนั้น หากเทียบกับประเทศอื่นๆในอาเซียน เรายังถือว่ามีสัญญา FTA กับต่างชาติไม่มากนัก หลังจากเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล โครงการเก่าๆที่ค้างอยู่ ก็อาจจะถูกนำมาปัดฝุ่นสานต่อ และ อาจจะมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้น เหล่าผู้ประกอบการต้องคอยจับตาดูเรื่องนี้ให้ดีครับ เพราะว่า FTA จะมีทั้งผลดีและผลเสีย โดยผลดี คือจะเป็นประโยชนต่อผู้ทำการส่งออก และผู้นำเข้าสินค้า เนื่องจากไม่มีกำแพงภาษี แต่ก็จะส่งผลเสียต่อ ผู้ค้าในประเทศ เนื่องจากมีการเข้ามาตีตลาดของสินค้าต่างประเทศมากขึ้นครับ

เรื่องที่ห้า เทรนด์ AI และ Innovation ต่างๆ โดยในปีนี้ เรื่องของ AI เป็นกระแสที่มาแรงมาก หากผู้ประกอบการเรียนรู้ที่จะนำ เทคโนโลยี AI และ Innovation ต่างมาใช้ในธุรกิจ ทั้งในส่วนของหลังบ้านและหน้าบ้าน ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ธุรกิจได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ผมขอยกให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผู้ประกอบการควรจะเรียนรู้ หากกำลังมองหาการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจของตนเองอยู่ครับ

เรื่องที่หก นั้นก็คือ ภัย Cyber โดยภัย Cyber ที่ผมกล่าวถึง ไม่ได้หมายถึงแค่ไวรัส คอมพิวเตอร์ เหมือนแต่ก่อนที่เราเข้าใจกันแล้ว แต่หมายถึงการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจเรา เช่น การจับไฟล์ในคอมพิวเตอร์ เพื่อเรียกค่าไถ่ การขโมยข้อมูลเพื่อนำไปขาย สิ่งนี้ล้วนเป็นตัวอย่างของภัย Cyber สำหรับผู้ประกอบการคงจะไม่ดีแน่ถ้าจะต้องมาเสียเงินหลักแสน เป็นค่าไถ่ให้แก่มิจฉาชีพที่จับข้อมูลในคอมพิวเตอร์เป็นตัวประกัน การเทรนพนักงานให้รู้ทันภัย Cyber และการวางแผนการป้องกันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ

และเรื่องที่เจ็ด เรื่องสุดท้ายที่ยังคงจะต้องจับตามองอยู่ก็คือ โควิดนั่นเอง แม้ความรุนแรงของโรคจะลดน้อยลง แต่การแพร่ระบาดกลับมากขึ้น ติดง่ายขึ้น หากมีพนักงานติดโควิดแค่ 1 คน ก็อาจจะทำให้ระบาดไปทั่วทั้งบริษัทได้เลย ส่งผลให้ขาดแรงงานพร้อมกันจำนวนมาก ผู้ประกอบการควรวางแผนรับมือเรื่องนี้ไว้ด้วยครับ