กูรูฟันธง "เฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์" ไปไม่รอด แม้ได้เงินแบงก์ใหญ่ต่อลมหายใจ

กูรูฟันธง "เฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์" ไปไม่รอด แม้ได้เงินแบงก์ใหญ่ต่อลมหายใจ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า แม้ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB ได้รับเงินอัดฉีดในรูปเงินฝากจากแบงก์ใหญ่วานนี้ แต่มาตรการดังกล่าวจะช่วยพยุงฐานะการเงินของทางธนาคารได้เพียงชั่วคราว ก่อนที่จะต้องขายกิจการในที่สุด

 "แม้ว่าเงินฝากดังกล่าวได้ช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของ ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank) หรือ FRB แต่ทางธนาคารก็ยังคงต้องจ่ายดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากดังกล่าว ซึ่งคิดในอัตราปัจจุบัน และจะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยของธนาคาร และเนื่องจาก FRB มีสถานะการเงินที่ย่ำแย่ ทางธนาคารก็อาจจะต้องพิจารณาการขายกิจการในที่สุด" นายอาร์ต โฮแกน หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดของบริษัท B. Riley Wealth Management กล่าว

 

ทั้งนี้ FRB ได้รับการก่อตั้งในปี 2528 โดยมีสินทรัพย์จำนวน 2.12 แสนล้านดอลลาร์ และเงินฝาก 1.764 แสนล้านดอลลาร์ ณ วันที่ 31 ธ.ค.2565

นอกจากนี้ FRB ได้ทำการกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำนวน 1.09 แสนล้านดอลลาร์ในระหว่างวันที่ 10-15 มี.ค.

สื่อรายงานว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังหลายรายในการโน้มน้าวให้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐอัดฉีดเม็ดเงินรวมกันถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ FRB

 

 

ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำข้อตกลงดังกล่าว ได้แก่ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และนายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ

ตามข้อตกลงดังกล่าว ธนาคารขนาดใหญ่ในวอลล์สตรีทจะฝากเงินใน FRB เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ทางธนาคาร โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา, เวลส์ ฟาร์โก, ซิตี้กรุ๊ป และเจพีมอร์แกน จะฝากเงินใน FRB รายละ 5 พันล้านดอลลาร์

ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ จะฝากเงินรายละ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนธนาคารทรูอิสต์ ไฟแนนเชียล, พีเอ็นซี, ยูเอส แบงคอร์ป, สเตทสตรีท และแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน จะฝากเงินใน FRB รายละ 1 พันล้านดอลลาร์

"การที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐพร้อมใจกันอัดฉีดเงินรวมกัน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าทางธนาคารมีความเชื่อมั่นต่อ FRB และต่อธนาคารทุกขนาด รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ธนาคารต่างๆ สามารถให้บริการแก่ลูกค้าต่อไป" ธนาคารรายใหญ่ของวอลล์สตรีทระบุในแถลงการณ์

อย่างไรก็ดี แม้ว่าข้อตกลงดังกล่าวได้ช่วยคลายความกังวลในตลาด และทำให้ราคาหุ้น FRB ดีดตัวขึ้นวานนี้ แต่นักลงทุนได้กลับมาเทขายหุ้นดังกล่าวจนดิ่งลง 20% ในวันนี้ และฉุดให้หุ้นในกลุ่มธนาคารร่วงลงตามกัน

ทั้งนี้ FRB เป็นธนาคารที่มีปริมาณเงินฝากที่ไม่ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาลสหรัฐสูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และซิกเนเจอร์ แบงก์ ซึ่งถูกปิดกิจการไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ลูกค้าจำนวนมากพากันโยกย้ายเงินฝากออกจาก FRB ไปยังธนาคารขนาดใหญ่