“เอ็กซิม แบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก ชิงส่วนแบ่งตลาดจีนสร้างการเติบโตยั่งยืน

“เอ็กซิม แบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก ชิงส่วนแบ่งตลาดจีนสร้างการเติบโตยั่งยืน

“เอ็กซิม แบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก บริหารความเสี่ยงธุรกิจไทย ก้าวสู่มือที่ 3 อย่างมีชั้นเชิง ชิงส่วนแบ่งกำลังการผลิตสินค้าจากจีนขยายตลาดทั่วโลก สร้างการเติบโตทั่วโลกยั่งยืน

“กรุงเทพธุรกิจ” จัดสัมมนาหัวข้อ “Geopolitics : The Big Challenge for Business โลกแบ่งขั้ว ธุรกิจพลิกเกม” วานนี้ (23 ม.ค.) โดยในการเสวนาหัว "เอกชนพลิกเกมรับมือโลกขัดแย้ง บริบทโลกเปลี่ยน สมการการเงิน ลงทุนโลกปรับ” มีเอกชนมาร่วมแลกเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจในช่วงที่โลกมีความขัดแย้ง

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) กล่าวว่า สัมพันธภาพระหว่างสหรัฐกับจีนเปรียบสมการครอบครัว เช่น การแต่งงาน 10 ปีมีลูก 3 คน แล้วเกิดการหย่าร้างแต่ไม่ถึงกับแตกหัก ดังนั้น สิ่งที่เห็น คือ ความย้อนแย้งหลายอย่าง เช่น เกลียดกันแต่ขาดกันไม่ได้ “เอ็กซิม แบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก ชิงส่วนแบ่งตลาดจีนสร้างการเติบโตยั่งยืน

ทั้งนี้ จะเห็นได้ชัดเจน คือ สหรัฐสั่งซื้อสินค้าจากจีน และจีนซื้อเทคโนโลยีจากสหรัฐสูงถึง 30-40% อีกทั้งธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศยังเปิดให้บริการได้ ซึ่งทั้ง 2 ประเทศยังมีแนวบริหารการดำเนินธุรกิจแบบบริหารความเสี่ยง เพราะค่าเงินไม่ควรถือไว้เพียงค่าเงินเดียว โดยสิ่งที่จะแนะนำลูกค้า คือ ควรซื้อของให้เยอะและซื้อสต็อกไว้ ซึ่บางประเทศซื้อของได้ถูก ต้องบริหารความเสี่ยงจึงขอเปรียบสมการ 3 กิ๊ก คือ 

1.กิ๊กด้านการเงิน เพราะเราไม่สามารถยึดโยงบ้านใหญ่ได้บ้านเดียว ดังนั้น ต้องมีเงินหลายสกุลทั้งหยวน หรือ ยูโร 2.กิ๊กในมุมของฐานการผลิต การทำธุรกิจจะต้องมีฐานกาผลิตมากกว่า 2 ประเทศ โดยประเทศไทยมีความสวยงามทางภูมิรัฐบศาสตร์ สามารถขยายฐานไปได้ และ 3. กิ๊กด้านการตลาด เพราะตลาดหลักไม่ใช่คำตอบอีกต่อไปแล้ว จะเห็นได้จากการเติบโตของ GDP โลกไม่เกิน 2% 

“เราต้องมีกิ๊ก 3 กิ๊ก เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยตลาดที่จะเป็นกิ๊กได้ดีตอนนี้คือ เอเชียใต้ และตลาดอาเซียน โดยเฉพาะ CLMV เพราะโลกเปลี่ยนไปตั้งแต่จบสงครามการแพร่ระบาดของโควิด-19 เราไม่จำเป็นต้องถือเงินไว้ที่ตัวเอง การมีบริษัทลูกนอกประเทศสำคัญ”

“เอ็กซิม แบงก์” ชูสมการ 3 กิ๊ก ชิงส่วนแบ่งตลาดจีนสร้างการเติบโตยั่งยืน ทั้งนี้ การใช้สูตรดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) อย่างเดียวใช้ไม่ได้แล้ว โดยปัจจุบันต้องผลักทุนไทยไปนอกประเทศ โดยจะเห็นได้จาก EXIM BANK ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) โปรโมทกลุ่มธุรกิจไทยไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งทุกบริษัทใหญ่ไม่มีฐานการผลิตแค่ในไทยแต่ไปขยายสาขานอกประเทศ โดยต่างจาก 20-30 ปีที่ผ่านมา ที่เน้นดึงเงินลงทุนเข้าไทย โดยการลงทุนทุก 1 บาท จะสร้างมัลติพลายเออร์ได้ 2 บาท ดังนั้น การทำธุรกิจต่อจากนี้จะต้องสร้างสมดุลทั้งการดึงทุนต่างชาติและการสร้างอีโคซิสเต็มในประเทศ

นอกจากนี้ มีข้อเสนอให้ให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาฝีมือเป็นมือที่ 3 อย่างมืออาชีพ เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพราะนักธุรกิจไทยคงไม่ถึงการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ แต่ควรทำสิ่งที่ไทยเชี่ยวชาญในการผลิต เช่น โทรทัศน์ เตารีด ไมโครเวฟ ตู้เย็น เพราะสหรัฐไม่สั่งสินค้าจากจีน ดังนั้น ไทยต้องแย่งตลาดส่วนนี้ หรือไทยจึงต้องไปเป็นมือที่ 3 อย่างมีชั้นเชิง

“เราติดอันดับ 1 ใน 5 ของการผลิตไก่ชิ้นของโลก ต้องนำไก่ชิ้นเข้าสหภาพยุโรป (อียู) ให้ได้ แย่งขั้วโลกใต้มาให้ได้ เราต้องมีชั้นเชิงในการอ่อยจะสามารถบุกตลาดได้ทั้งโลก ในขณะที่บ้านใหญ่ บ้าเล็กทะเลาะกันอยู่ ผู้ประกอยการไทยต้องปรับโมเดลธุรกิจ”

นายรักษ์ กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงการคลังดำเนินการมาตลอด คือ การทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านสินเชื่อ โดยกว่า 2 ปี เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงสินเชื่อได้ 2% ในอัตราเดียวกับเจ้าสัว ซึ่งมีข้อแม้ว่าต้องซื้อเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเอสเอ็มอี 5,000 ราย ปรับปรุงระบบและกำลังการผลิต รวมถึงเปลี่ยนหลังคาโรงงานเป็นโซลาร์รูฟเพราะเทรนด์พลังงานสะอาด ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวเพื่อเป็นหนึ่งในทะเลสีน้ำเงินของคาร์บอนเครดิต และอีกสิ่งสำคัญ คือ การทำแพคเกจจิ้งเพื่อเป็นจุดขาย โดยไม่ขายความน่าสงสารแต่ต้องปรับให้เป็นสินค้าที่มีอัตลักษณ์จึงจะขายได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์