“สุพัฒนพงษ์” กล่อมภาคธุรกิจ รับภาระ "ค่าไฟฟ้าแพง" ขึ้น

“สุพัฒนพงษ์” กล่อมภาคธุรกิจ รับภาระ "ค่าไฟฟ้าแพง" ขึ้น

“สุพัฒนพงษ์” หารือ “กกร” แจงปัญหาต้นทุนค่าไฟแพง พร้อมขอความร่วมมือภาคธุรกิจอดทน ร่วมกันประหยัดพลังงานฝ่าฟันวิกฤติไปด้วยกัน มองค่าไฟรอบหน้ามีแนวโน้มลดลง จากกำลังผลิตก๊าซในอ่าวไทยเพิ่ม

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ภายหลังที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หารือกับตัวแทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การคำนวณค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงานกกพ.) ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต้องจ่ายค่าFt ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วย คิดเป็นค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ต้องจ่ายจริงหน่วยละ 5.33 บาท ในรอบบิลเดือน ม.ค. - เม.ย. 2566   

ทั้งนี้ นายสุพัฒนพงษ์ ได้ชี้แจงรายละเอียดถึงปัญหาหลักคือ กำลังผลิตก๊าซในอ่าวไทยที่ไม่เป็นไปตามเป้าหายไปเกือบ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสัญญาที่ต้องผลิตให้ได้ถึง 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เนื่องจากปัจจัยการเปลี่ยนผ่านผู้รับสัมปทานและไม่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตได้ ซึ่งทางกระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้รับการยืนยันจาก บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ผู้รับสัมปทานรายใหม่ว่าอยู่ระหว่างเร่งกำลังการผลิต

กระทรวงพลังงานระบุว่ากลางปีหน้าจะเร่งกำลังผลิตให้ได้ราว 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และช่วงปลายปี 2567 จะสามารถอัปกำลังการผลิตได้ตามสัญญา ดังนั้น รองนายกฯ จึงอยากให้เอกชนเข้าใจและขอความร่วมมือให้ประหยัดพลังงานและฝ่าฟันวิกฤตินี้ไปด้วยกัน พร้อมกับขอบคุณภาคธุรกิจที่ถือเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจให้กับประเทศ” แหล่งข่าว กล่าว  

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. เปิดเผยว่าที่ประชุม กกพ. เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2565 พิจารณาผลการคำนวณค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) เพิ่มเติมอีกครั้งหลังจากที่ กฟผ. และ ปตท. ทบทวนประมาณการราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาน้ำมันดีเซล อัตราแลกเปลี่ยน และภาระหนี้คงค้างของ กฟผ. สำหรับการคำนวณอัตราค่าเอฟที ตามที่ กกพ. ได้พิจารณาไปแล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2565

ทั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เช่น ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมจ่ายค่า Ft ที่ 154.92 สตางค์ต่อหน่วยจากมติเดิมที่ต้องจ่ายค่าเอฟที 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งโดยเฉลี่ยแล่วต้องจ่ายค่าไฟฟ้าหน่วยละ 5.33 บาท จากเดิมหน่วยละ 5.69 บาท ในรอบบิลค่าไฟฟ้า ม.ค. - เม.ย. 2566 ทั้งนี้ แม้ว่าการปรับลดค่า Ft ใหม่ครั้งนี้ ถือว่าภาคธุรกิจจะต้องจ่ายค่าไฟเพิ่มขึ้นจากงวดเดือนก.ย.-ธ.ค. 2565 ที่จ่ายค่า Ft ที่ 93.43 สตางค์ หรือค่าไฟเฉลี่ยที่ 4.72 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น ขึ้น 0.61 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยยังคงต้องจ่ายค่าเอฟที ในอัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งยังคงจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วยตามที่มีประกาศไปก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานที่มีการเปลี่ยนแปลง คือ

1. ราคาก๊าซธรรมชาติ จากเดิมอยู่ที่ 493 บาทต่อล้านบีทียู เหลือ 466 บาทต่อล้านบีทียู, ราคาก๊าซธรรมชาติอ่าวไทย ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 237 บาทต่อล้านบีที และราคา Pool Gas จากเดิมอยู่ที่ 535 บาทต่อล้านบีทียู ลดเหลือ 496 บาทต่อล้านบีทียู

2. ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว ตลาดจร (Spot LNG) จากเดิมอยู่ที่ 31.577 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู เหลือ 29.60 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู

3. ราคาน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า จากเดิมอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร เหลือ 28.22 บาทต่อลิตร

4.อัตราแลกเปลี่ยน (Fx) จากเดิมอยู่ที่ 37 บาทต่อดอลลาร์ เหลือ 35.68 บาทต่อดอลลาร์ และ

5. ภาระหนี้สะสมจากการเรียกเก็บเอฟทีของ กฟผ. (122,257 ล้านบาท) จากเดิมให้มีการเรียกเก็บคืนภายใน 2 ปี ที่ 33.33 สตางค์ต่อหน่วย เป็นทยอยเรียกเก็บคืนภายใน 3 ปี ที่ 22.22 สตางค์ต่อหน่วย