จับตากฎใหม่ “App Store” กระทบ “Spotify-Meta” อย่างไร

จับตากฎใหม่ “App Store” กระทบ “Spotify-Meta” อย่างไร

“Apple Inc.” อัปเดตกฎของ “App Store” เก็บค่าธรรมเนียม 30% จากผู้ผลิตแอปพลิเคชัน พร้อมบังคับให้ซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปฯ ส่งผลกระทบต่อการขายหนังสือเสียงของ “Spotify” และ การขายโฆษณาของ “Meta”

“Spotify” ผู้ให้บริการสตรีมมิงฟังเพลงรายใหญ่ของโลก พึ่งเปิดตัวบริการหนังสือเสียง (Audiobook) ในสหรัฐ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าบริการนี้ยังคงมีปัญหาจากระบบการสั่งซื้อหนังสือเสียง เมื่อ Spotify ปฏิเสธที่จะเสียค่าธรรมเนียมเป็น 30% ที่ Apple Inc. บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เจ้าของ “App Store” กำหนดและบังคับให้ซื้อสินค้าและบริการได้จากแอปพลิเคชัน หรือ IAP (In-app purchase) เท่านั้น

ในเบื้องต้น Apple และ Spotify ได้แก้ไขปัญหาด้วยการส่งลิงก์ถึงผู้ใช้ผ่านอีเมลเพื่อนำพาไปยังช่องทางการซื้อหนังสือหนังสือเสียง ระหว่างที่รอ Spotify หาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งก็ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี ผู้ใช้งานสามารถทำการสั่งได้สำเร็จ 

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ Apple ไม่อนุมัติเวอร์ชันอัปเดตของ Spotify ถึง 3 รอบ โดยปล่อยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันต้องหาทางแก้ไขปัญหานี้ต่อไป ไร้คำชี้แนะ แถมยังยกเลิการส่งอีเมลให้กับผู้ใช้งานที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือเสียง ทำให้ตอนนี้ผู้ใช้งานที่พยายามจะซื้อหนังสือเสียงจะพบกับป๊อปอัพเด้งขึ้นมาว่า “อยากฟังใช่ไหม? แต่คุณซื้อหนังสือเสียงผ่านแอปฯไม่ได้ เรารู้ว่ามันไม่ดีเลย” (Want to listen? You can’t buy audiobooks in the app. We know, it’s not ideal.) เมื่อผู้ใช้งานกดปุ่ม “เข้าใจแล้ว” (Got It) ทุกอย่างก็อันตรธานหายไป โดยไม่มีข้อความหรือคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการซื้อหนังสือเสียงบน Spotify

แฮร์รี คลาร์ก ที่ปรึกษาทั่วไปของ Spotify กล่าวว่า Apple ปฏิเสธวิธีแก้ปัญหาหนังสือเสียงของ Spotify ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นตัวอย่างล่าสุดที่ชี้ให้เห็นว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีทำอะไร “ตามอำเภอใจ” และ “ไม่สอดคล้องกันโดยสิ้นเชิง” กับการบังคับใช้ IAP

“ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังใช้กฎอะไร แล้วนักพัฒนาที่มีเหตุผลต้องตีความกฎเหล่านี้อย่างไร สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อเวลาผ่านไป Apple ขยายวงการตีความกฎเกณฑ์ให้กว้างขึ้นและตามอำเภอใจมากขึ้น และจงใจนำเรื่องเหล่านี้มาใช้กับ Spotify” คลาร์กเปิดเผยกับสำนักข่าว The Hollywood Reporter

ขณะที่โฆษกของ Apple ระบุว่า “การอัปเดตของ Spotify ถูกปฏิเสธ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการการสื่อสารในแอปพลิเคชันอย่างชัดเจนในการนำผู้ใช้ออกภายนอกแอปพลิเคชันเพื่อทำการซื้อสินค้ารูปแบบดิจิทัล เราให้คำแนะนำถึงการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน และอนุมัติแอปพลิเคชันหลังจากทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด”

Spotify เป็นหนึ่งในบริษัทที่วิจารณ์นโยบาย App Store ของ Apple มากที่สุด โดยในปี 2562 บริษัทซึ่งสำนักงานใหญ่ในกรุงสตอกโฮล์มของสวีเดน ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการยุโรป ให้ตรวจสอบเรื่องการผูกขาดของ Apple ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน

ด้าน “แดเนียล เอ็ก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Spotify กล่าวเมื่อวันที่ 25 ต.ค. เกี่ยวกับกฎของ App Store ว่า “ผมว่ามันไร้สาระมากที่ Apple ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนี้ต่อไป ฉุดรั้งทั้งนักพัฒนาและครีเอเตอร์ และไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภค”

เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ประกาศอัปเดตกฎใหม่ของ App Store โดยคิดค่าธรรมเนียม 30% 

“การบูสต์โพสต์ (Boost Post) ช่วยให้ผู้คนเห็นโพสต์หรือแอปฯได้มากขึ้น ย่อมให้ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ จึงถือเป็นบริการดิจิทัล ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีค่าธรรมเนียม และต้องจ่ายผ่าน IAP ซึ่งเราใช้รูปแบบนี้มาโดยตลอดและมีแอปฯมากมายที่ประสบความสำเร็จ” ตัวแทนของ Apple กล่าว

การอัปเดตกฎ App Store ของ Apple ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่ Spotify เพียงเท่านั้น แต่จะส่งผลกระทบต่อบริษัทแอปพลิเคชันยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะบรรดาโซเชียลมีเดียที่มีการขายบูสต์โพสต์สำหรับการโปรโมตให้แก่ผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok ซึ่งกลุ่ม Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทไม่เคยใช้ระบบ IAP ของ Apple เลย

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Apple ถือว่าเป็นการซ้ำเติม Meta อย่างมาก เนื่องจากในช่วงปีที่ผ่านมาหุ้นMeta ร่วงลงกว่า 70% ขณะที่การทุ่มเงินลงทุนกับเมตาเวิร์สก็ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซ้ำร้าย “App Tracking Transparency” นโยบายความเป็นส่วนตัวที่ Apple กำหนดให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ต้องขออนุญาตผู้ใช้งานเพื่อติดตามข้อความเป็นส่วนตัว ยังทำให้ Meta เสียรายได้จากการขายโฆษณาไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์

ขณะที่ Snap บริษัทแม่ของ Snapchat โซเชียลมีเดียยอดฮิตในสหรัฐ ยังคงทำผลงานได้ไม่ดีในปีนี้ และสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปประมาณ 85% ซึ่งเป็นผลจากการชะลอตัวของธุรกิจโฆษณา

“ทุกคนในวงการโฆษณาและแอปพลิเคชันต่างรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง แม้ว่าบรรดาแพลตฟอร์มต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบมากกว่าฝ่ายโฆษณาของแบรนด์ แต่ที่สำคัญคือคุณจะต้องรู้ข้อมูลของกลุ่มลูกค้าตัวเองให้มากที่สุดเสมอ” แหล่งข่าวระดับสูงในแวดวงดิจิทัลคอนเทนต์เปิดเผย

ทางออกที่ง่ายที่สุดของเรื่องนี้ คือ Spotify ต้องยอมรับกฎและจ่ายค่าธรรมเนียม 30% ให้กับ Apple แต่ เนียร์ ซิกเกอร์แมน หัวหน้าฝ่ายหนังสือเสียงของ Spotify ระบุว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจ

“มันมีทางออกอยู่ 2 ทาง คือเราต้องยอมให้ Apple กินส่วนแบ่ง 30% ในทุกการขาย หรือไม่เช่นนั้นต้องขึ้นราคา ซึ่งเป็นการผลักภาระให้แก่ผู้บริโภค แถมยังทำร้ายสำนักพิมพ์และผู้แต่งด้วย เพราะพวกเขาไม่สามารถขายหนังสือได้เช่นกัน” ซิกเกอร์แมนกล่าวกับสำนักข่าว The Hollywood Reporter

ขณะที่ผู้บริหารของ Spotify อีกคนระบุว่า “ตลาดหนังสือเสียงมีศักยภาพในการเติบโตขึ้นอีกมาก เหมือนกับตลาดพอดแคสต์ที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ แต่มันจะไม่สามารถเติบโตได้เลย หากคุณทำให้ผู้ใช้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมไม่ได้”

ยังต้องจับตาดูกันต่อไปว่า กฎ IAP จะส่งผลกระทบทางการเงินในระยะยาวต่อธุรกิจหนังสือเสียงของ Spotify และรายได้ของ Meta สำหรับการขายบูสต์โพสต์อย่างไร แต่ที่เห็นแน่นอนในตอนนี้คือ ลูกค้า iOS ไม่สามารถซื้อหนังสือเสียงได้ ซึ่งต่างจากฝั่งแอนดรอยด์ที่สามารถซื้อได้ผ่านระบบลิงก์ ดูเหมือนว่ากลเกมทางธุรกิจของ 2 ยักษ์ จะยังคงดำเนินต่อไป และไม่มีทีท่าจะจบลงง่าย ๆ แต่ตอนนี้มีคนที่ได้รับผลกระทบแล้ว ก็คือผู้บริโภคนั่นเอง


ที่มา: CNNThe Hollywood Reporter