กกร.คงประมาณการณ์จีดีพีไทยที่ 3 - 3.5%

กกร.คงประมาณการณ์จีดีพีไทยที่ 3 - 3.5%

กกร.คงประมาณการณ์จีดีพีไทยที่ 3 - 3.5% ได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ กังวลปีหน้าเศรษฐกิจโลกถดถอย แนะรัฐบาลทบทวนนโยบายเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน  (กกร.) เปิดเผยภายหลังการประชุมกกรว่า   ที่ประชุม กกร. ประเมินว่า  การค้าโลกมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงตามเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสเผชิญภาวะถดถอยชัดเจนมากขึ้น โดยองค์การการค้าโลก (WTO) คาดว่าในปี 2566 การค้าโลกจะเติบโตได้ในระดับต่ำแค่ 1% จากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของหลายประเทศ เนื่องจากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงยาวนานและธนาคารกลางใช้นโยบายการเงินเข้มงวด รวมถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อตลาดพลังงานอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับประมาณการล่าสุดของ IMF ที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของหลายประเทศ อีกทั้งโอกาสการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐและ Euro Zone ที่มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

ตัวเลขคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2566 ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นไปทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ชะลอตัวลงเช่นกัน เศรษฐกิจไทยจะเผชิญต้นทุนต่างๆ ทั้ง ค่าไฟ ค่าแรง และสินค้านำเข้า ที่แพงขึ้น ในขณะเดียวกันนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจเริ่มมีการลดบทบาทออกไปเพื่อปรับนโยบายสู่สมดุล (Policy Normalization) ทั้งนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียม FIDF ซึ่งการถอนการสนับสนุนเศรษฐกิจหลายมาตรการพร้อมๆ กัน  เสี่ยงที่จะส่งผลกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากกว่าที่ทางการประเมินไว้เดิมได้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากกว่าคาด ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศทยอยฟื้นตัว โดยภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนก.ย.อยู่ที่ 1.3 ล้านคน ทั้งปีน่าจะใกล้เคียง 10 ล้านคน จึงมีส่วนช่วยให้การจ้างงานของเอกชน และอุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น

มาตรการช่วยเหลือเพื่อประคับประคองกลุ่มเปราะบางของกรมธุรกิจพลังงาน ( ธพ. )ยังคงมีความจำเป็น เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงหลายด้าน เพื่อชะลอผลกระทบต่อลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง กลุ่มที่รายได้ยังกลับมาไม่เต็มที่ และผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SMEs ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด สามารถประคองตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไปได้ โดยคำนึงถึงการส่งเสริมการออมเงินของประชาชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าลดภาระทางการเงิน และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน ซึ่งธนาคารแต่ละแห่งจะพิจารณาและเสนอแนวทางการช่วยเหลือการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้และความเสี่ยงของลูกค้าแต่ละราย เพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างตรงจุด

ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ซึ่งจะขยายตัวได้ในกรอบ 3.0% - 3.5% ตามการปรับตัวดีขึ้นของภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนการส่งออกยังขยายตัวได้ในกรอบ 7.0% -8.0% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในกรอบ 6.0% - 6.5% ขณะที่ผลกระทบจากน้ำท่วมที่อยู่ในวงจำกัด ในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย และทบทวนการถอนนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน “นายสนั่น กล่าว

ทั้งนี้ กกร. มีความเป็นห่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า เนื่องจากประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปีหน้าได้ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงหลายด้านและมีการทยอยลดบทบาทนโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจเพื่อให้เข้าสู่จุดสมดุลหรือ Policy Normalization อาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีแรงส่งน้อยกว่าที่คาดไว้ และกลับไปสู่ระดับเดิมก่อนการแพร่ระบาดล่าช้าออกไป การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การปรับขึ้นเงินนำส่งเข้า FIDF เข้าสู่ภาวะปกติจากอัตรา 0.23% เป็น 0.46% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2566 จะส่งผลอย่างมีนัยยะสำคัญกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระบบ และการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ซึ่งการทยอยลดบทบาทหลายมาตรการพร้อมๆ กัน  เสี่ยงที่จะเป็นการกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ SME และครัวเรือนที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว