XO ยอดขายจะซบเซาลงใน 2H65 (31 สิงหาคม 2565)

XO ยอดขายจะซบเซาลงใน 2H65 (31 สิงหาคม 2565)

ผู้บริหารของ XO คาดว่ารายได้จากยอดขายจะลดลง QoQ ใน 3Q65 เนื่องจากอุปสงค์จากยุโรปลดลงเพราะการกลับมาเปิดเศรษฐกิจทำให้มีการทำอาหารทานที่บ้านน้อยลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทำให้อุปสงค์การบริโภคลดลง

ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายปีนี้เป็นติดลบเล็กน้อย YoY (สอดคล้องกับสมมติฐานของเรา) จากเดิมที่คาดว่าจะโต 10-15% นอกจากนี้ XO ยังเลื่อนแผนสร้างโรงงานแห่งใหม่จากกำหนดเดิมในปลายปีหน้า เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และบริษัทคาดว่ากำลังการผลิตในปัจจุบันจะเพียงพอสำหรับการเติบโตของยอดขายในอีกสองปีข้างหน้า

 

มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นในปีหน้า

XO มีแผนจะปรับขึ้นราคาขายในช่วงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะขึ้นราคาแค่ไหน เพราะต้องการประเมินผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และต้นทุน overhead ก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังต้องพิจารณาการแข่งขันในตลาดด้วย เพราะคู่แข่งบางรายยังยืนราคาขายเอาไว้เท่าเดิม ทั้งนี้ เรามองว่าสมมติฐาน GPM ปี 2565F-2566F ของเรายังมี downside อีกประมาณ 44% เพราะ GPM ใน 2Q65 อยู่ที่ 42% และคาดว่าจะลดลงใน 3Q65-4Q65 เนื่องจากการประหยัดต่อขนาดลดลง และต้นทุนบรรจุภัณฑ์สูงขึ้น

 

 

 

คงประมาณการกำไรเอาไว้เท่าเดิม ในขณะที่ยังต้องติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ในยุโรป

เรามองบวกน้อยลงกับ XO เพราะคาดว่าการฟื้นตัวของยอดขายใน 2H65 จะยังคงซบเซา โดยเฉพาะในตลาดยุโรป (83% ของรายได้จากยอดขาย) ในขณะที่มองว่าการเติบโตของยอดขายปีหน้ายังคงไม่แน่นอน เพราะเงินเฟ้อที่สูง และเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงยังคงเป็นปัจจัยลบที่กดดันให้การบริโภคในภาพรวมลดลง แต่เรามองว่ายังอาจจะมีปัจจัยบวกได้ถ้าหากผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการทานอาหารนอกบ้านลง แล้วหันมาทำกับข้าวทานที่บ้านมากขึ้น นอกจากนี้ เรามองว่ายังมี upside จากตลาดแคนาดาอีกจากการที่ XO ได้ลูกค้าใหม่รายใหญ่บางรายเพิ่มเข้ามา แต่ว่ายอดขายในระยะสั้นจะยังน้อยอยู่ เมื่อเทียบ
กับสัดส่วนยอดขายในยุโรป ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้เอาไว้เท่าเดิมที่ 419 ล้านบาท (-9.5% YoY) และปี 2566F ที่ 470 ล้านบาท (+12.3% YoY) ในขณะที่เรายังต้องติดตามผลกระทบจากเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นราคาขายต่อยอดขายของ XO ต่อไป

 

Valuation & action

เรายังคงคำแนะนำ ถือ XO และขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 15.80 บาท อิงจาก PER ที่ 14.3x (PER เฉลี่ย -0.75 S.D.) จากเดิมที่ 14.30 บาท

 

Risks

เกิดข้อพิพาทกับผู้จัดจำหน่าย, การจัดส่งสินค้า และ สายโซ่อุปทานสะดุด, การแข่งขันในตลาด