กนอ. เตรียมปั้นระบบอัจฉริยะ เดินแผนแม่บทปี 66 ดันฮับโลจิสติกส์อาเซียน

กนอ. เตรียมปั้นระบบอัจฉริยะ เดินแผนแม่บทปี 66 ดันฮับโลจิสติกส์อาเซียน

กนอ. เปิดแผนแม่บทพัฒนานิคมฯ และท่าเรืออุตสาหกรรมอัจฉริยะ ปั้นเทคโนโลยีหนุนไทยขึ้นเป็นฮับโลจิสติกส์ภูมิภาค

นายวีริศ อัมระปาล ผู้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ขณะนี้ กนอ. กำลังดำเนินการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมอัจฉริยะที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Smart and Carbon Neutral Industrial Port) ตามเป้ายุทธศาสตร์ปี 2566 ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค (IEAT4.0) และนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ให้บริการและสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้ 

โดยแผนแม่บทดังกล่าวจะนำไปใช้ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม/ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) เป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อเป็นต้นแบบด้านการบริหารจัดการนิคมอุตสาหกรรม/ท่าเรืออุตสาหกรรมโดยใช้ข้อมูล (Data Driven Management) ให้แก่นิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นกลยุทธ์หลักในการดึงดูดนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรม

ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ กนอ. ได้เดินทางไปศึกษาดูงานการผลิตน้ำจืดจากทะเล และการบริหารจัดการท่าเรือ ณ ประเทศสเปน ร่วมกับนายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนรินทร์ กัลยาณมิตร ประธานกรรมการ กนอ. และคณะกรรมการ กนอ. โดยมีภารกิจ 3 หลัก คือ การเยี่ยมชมท่าเรือบาเลนเซีย เยี่ยมชมระบบการแยกเกลือออกจากน้ำทะเล (Desalination) ประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการบริหารจัดการท่าเรือบก และระบบการขนส่งแบบ multimodal

สำหรับการเยี่ยมท่าเรือบาเลนเซีย 1 ในท่าเรือยุโรปที่มีปริมาณการขนส่งมากที่สุด และติดอันดับ Top 20 ในปี 2021 จากการประเมินของ World Connectivity Index (CGI) โดยการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) โดยท่าเรือที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม Port Community System (PCS) หรือระบบศูนย์กลางเชื่อมโยงข้อมูลด้านขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านโลจิสติกส์ ทั้งภาครัฐและเอกชนมาใช้บริหารจัดการท่าเรือในรูปแบบ Smart Port เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแบบลดการใช้เอกสาร (Paperless) 

อีกทั้งเป็น One Stop Point สำหรับผู้ใช้บริการ และยังมียุทธศาสตร์ลดการปลดปล่อยคาร์บอน (Zero Emissions) ภายในปี 2030 ด้วยการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการขับเคลื่อนเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการ (Digital Transformation)

“ท่าเรือบาเลนเซีย ถือเป็นต้นแบบของการขยายท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด เฟส 3 เพื่อรองรับการขนส่งก๊าซ NGV และสินค้าเหลว ตลอดจนการประกอบกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง"

นอกจากนี้ กนอ. ยังได้มีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสมาคมการผลิตน้ำจืดจากทะเล และการนำน้ำกลับมาใช้แห่งสเปน (La Asociacion Espanola de Desalacion y Reutilizacion - AEDyR) เพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการคัดเลือกพื้นที่ตั้งระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล อัตรากำลังการผลิตที่เหมาะสม การคัดเลือกเทคโนโลยี ผลกระทบการระบายน้ำทิ้ง และการศึกษาในเชิงสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย และการลงทุน

โดยจากการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า กระบวนการ Reverse Osmosis (RO) การขับเคลื่อนน้ำทะเลผ่านสู่ระบบเยื่อกรองด้วยแรงดันสูง เป็นกระบวนที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด สามารถใช้ร่วมกับพลังงานทางเลือกได้ และมีความยั่งยืนมากกว่าเทคโนโลยีอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาจนมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ต่ำกว่ากระบวนการอื่น โดยพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงที่เหมาะสมสำหรับตั้งโรงผลิตน้ำจืดจากทะเล จะอยู่ที่อยู่บริเวณพื้นที่มาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 

นอกจากนี้ ยังประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการบริหารจัดการท่าเรือบกและระบบการขนส่งแบบ multimodal ในบริเวณเขตอุตสาหกรรมที่เป็นศูนย์กลางระบบขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศ เพื่อนำรูปแบบมาปรับใช้ในการดำเนินการก่อสร้างและให้บริการท่าเรือบก (Dry Port) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 

เนื่องจากเล็งเห็นประสิทธิภาพการให้บริการของท่าเรือบก (Dry Port) ของสเปน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ระบบท่าเรือบกเพื่อสนับสนุนการเป็นโลจิสติกส์ด้านการขนส่ง โดยการอำนวยความสะดวกให้กับการขนส่งระหว่างประเทศด้วยการลดภาระงานของท่าเรือทางทะเล และให้บริการด้านการขนส่งด้วยระบบรางหรือถนนที่มีประสิทธิภาพสูง