เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำคาด เป็นบวกต่อบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง

เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำคาด เป็นบวกต่อบรรยากาศลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง

สหรัฐฯ รายงานเงินเฟ้อ ก.ค.ต่ำคาดส่งสัญญาณเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุด สหรัฐฯ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อ ก.ค. เพิ่มขึ้น 0.0% MoM (จากคาด 0.2%) และ 8.5% YoY (จากคาด 8.7%) ซึ่งนอกจากต่ำกว่าคาดการณ์แล้ว ยังลดลงจากระดับมิ.ย.ที่ 1.3% MoM และ 9.1% YoY ส่งสัญญาณเงินเฟ้อมีโอกาสผ่านจุดสูงสุด

ซึ่งทิศทางดังกล่าวจะช่วยลดความจำเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยคุมเงินเฟ้อ (ซึ่งมีผลข้างเคียงต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอย) เรามองทิศทางดังกล่าวเป็นบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและการเคลื่อนไหวของสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อาจจะทยอยปรับขึ้นสะท้อนวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยที่น่าจะดำเนินไปถึงต้นปี 2566 แต่อัตราดอกเบี้ยสุงสุด (implied rate) ที่ทรงตัวที่ 3.5-3.6% ขณะที่จุดสูงสุดอยู่ที่มี.ค.66 (ไม่เปลี่ยนแปลง) ทำให้การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรอบนี้ น่าจะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเรามองความผันผวนที่ลดลง จะเป็นบวกกับการฟื้นตัวของสินทรัพย์เสี่ยง
 

กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็นบวกมากกว่าลบ แม้มีความกังวลว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นปัจจัยลบต่อภาระหนี้ครัวเรือน และ NPL ของกลุ่มการเงิน เรามองการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นบวกต่อภาพรวมการลงทุนมากกว่าเนื่องจาก 1) ส่งสัญญาณให้ภาคธุรกิจมีความระมัดระวังต่อการปล่อยกู้และขยายธุรกิจในอนาคตข้างหน้า ซึ่งช่วยคุมความเสี่ยงเชิงระบบ 2) ส่งสัญญาณว่าธปท.จะดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับภาพรวมของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งจะเป็นบวกต่อทิศทางค่าเงินบาท 3) ทำให้การฟื้นตัวมีเสถียรภาพ และสร้างความยืดหยุนในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงต่อไป //ภาพรวมการฟื้นตัวของธุรกิจยังนำด้วยกลุ่มเปิดเมือง (reopening) ทั้ง ท่องเที่ยว, ห้างสรรพสินค้า, ธนาคาร และกองรีทส์ ที่โมเมนตัมของกำไรยังเติบโตเชิงบวก ตามมาด้วยกลุ่มค้าปลีกและการเงิน (ไฟแนนซ์) ที่จะทยอยฟื้นตัวตามมา
 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN  5) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA, STAR5001 6) เก็งกำไรทางเทคนิค CPALL, SCGP, TOP, RATCH, CRC, CPF, RS, SC, TH

 

ภาพรวมกลยุทธ์: ฟื้นตัวและมีโอกาสขึ้นทดสอบ 1,630-1,650 จุด SET เป็นบวกตราบใดไม่หลุด 1,577-1,585 จุด ภาพใหญ่เน้นเลือกซื้อ กลุ่มหุ้นเปิดเมือง (ซื้อท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร กองรีทส์/ สะสมค้าปลีก) สำหรับ DR หุ้นจีน ทยอยสะสม   //หุ้นแนะนำ:  CPF*, LHFG*, OR*, TNP*

แนวรับ: 1,610 / แนวต้าน : 1,630 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

 

 

 

ประเด็นการลงทุน

ยูเครนเตรียมเปิดท่อส่งน้ำมันแล้ว หลังได้รับเงินจากรัสเซีย – ยูเครนได้รับเงินค่าธรรมเนียมการขนส่งน้ำมันจากรัสเซียแล้ว จะกลับมาเปิดท่อส่ง Druzhba ตามปกติ

EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง – สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 5.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 200,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 5 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 500,000 บาร์เรล 

จีนประกาศยุติซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันแล้ว - กองทัพจีนประกาศยุติการซ้อมรบรอบเกาะไต้หวันแล้ว แต่จะยังคงจับตาสถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันต่อไป

ไต้หวันหวัง "ฟ็อกซ์คอนน์" ยกเลิกลงทุนในบริษัทชิปจีน หวั่นเทคโนโลยีรั่วไหล – มีการโน้มน้าวให้บริษัทฟ็อกซ์คอนน์ ซัพพลายเออร์ของแอปเปิล อิงค์ ยกเลิกการลงทุน 800 ล้านดอลลาร์ในบริษัท ชิงหัว ยูนิกรุ๊ป (Tsinghua Unigroup) ผู้ผลิตชิปของจีน โดยได้เสนอกฎหมายใหม่เพื่อป้องกันจีนขโมยเทคโนโลยีชิป ท่ามกลางความกังวลมากขึ้นในไต้หวันว่าจีนกำลังยกระดับการจารกรรมทางเศรษฐกิจ

การเมือง – ติดตามวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่จะครบ 8 ปี วันที่ 24 ส.ค. การยุบสภา หรือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศลงทุน

Opportunity day – 11 ส.ค. - ADB, PIMO, SUN, SPALI, MTC, DOHOME, OSP / 15 ส.ค. – HENG, THRE, CMO, TKC, SMT, SNNP, TFM, SPRC, TSE, SAK, KEX, GLOBAL, INTUCH, IVL / 16 ส.ค. – TCMC, BEYOND, TASCO, NCAP, SAWAD, COM7, ASW, CHAYO, TTA, ERW, RS, AMANAH, STC
หุ้นที่มีโอกาสเข้าเกณฑ์ Cash Balance – ได้แก่ SABUY

 

ประเด็นติดตาม: 11 ส.ค. – US PPI, OPEC Monthly Report / 16 ส.ค. - US Building Permits / 17 ส.ค. – US Retail Sales / 18 ส.ค. – EU CPI, US Existing Home Sales

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)