สรท.จับตาเศรษฐกิจถดถอยหวั่นลามตลาดส่งออก“ยุโรป”

สรท.ประเมินส่งออกครึ่งปีหลัง หวั่นเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ยุโรป จีน กระทบส่งออกไทย ชี้ส่งออกไทยมีลุ้นส่งออกโต 10 % หากสถานการณ์ไม่รุนแรง รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนชิปต้องคลี่คลายช่วงปลายปี
สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐที่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกไทยมีสัญญาณดีขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมั่นใจว่าปี 2565 อย่างน้อยการส่งออกไทยจะขยายตัว 6-8% แน่นอนจากเดิมที่คาดไว้ที่ 5% โดยดูจากการส่งออกในครึ่งปีแรกส่งออกรวม 149,184 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.7% เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัยพบว่าการส่งออกขยายตัว 9% หากครึ่งปีหลังไม่ขยายตัวส่งออกไทยจะขยายตัวได้ 6-8%
สำหรับปัจจัยบวกมาจากค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่าต่อเนื่อง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายการผลิตโลก (PMI) ในเดือน มิ.ย.ของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐ ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น ยังทรงตัวเหนือเส้น Baseline ระหว่าง 50-60 ขณะที่จีนเริ่มฟื้นกลับมาเหนือระดับ Baseline หลังจากก่อนหน้า PMI หดตัวต่ำกว่าที่คาดสะท้อนการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกิจกรรมการผลิตและเศรษฐกิจโลก
อย่างไรตามคงต้องจับตาปัจจัยปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คือ
1.สถานการณ์อัตราเงินเฟ้อโลกที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์เงินเฟ้อปี 2565 ประเทศพัฒนาแล้วเฉลี่ยอยู่ที่ 6.6% และประเทศเกิดขึ้นหรือประเทศกำลังพัฒนาอยู่ที่ 9.5% ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคในระดับกลางและระดับล่างทั่วโลกมีสัญญาณชะลอตัว
2.ราคาพลังงานทรงตัวในระดับสูง จากสถานการณ์ข้อพิพาทระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังคงยืดเยื้อ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อเนื่องถึงราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนการผลิตสินค้า รวมถึงต้นทุนการขนส่งที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกราคาพลังงานในตลาดโลก
3.สถานการณ์ค่าระวางขนส่งสินค้าทางทะเลยังทรงตัวในระดับสูงและเริ่มมีการปรับลดลงในหลายเส้นทาง แต่พบว่าค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนเปลี่ยนแปลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่สถานการณ์ตู้เปล่าที่นำเข้ามาในประเทศไทยเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
4.ปัญหาต้นทุนวัตถุดิบขาดแคลนและราคาผันผวน อาทิ เซมิคอนดักเตอร์, เหล็ก, ธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน แป้งสาลี อาหารสัตว์ ปุ๋ย เป็นต้น
“ส่งออกทั้งปีมีอยู่ในกระเป๋าแล้ว 6-8 % แต่ สรท.ยังคิดไม่พอ เพราะคาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้มีความเป็นไปได้ที่ส่งออกขยายตัวถึง 10 % จากปัจจัยที่จะหนุนให้การส่งออกโต ค่าเงินบาทเคลื่อนไหว 34 บาทต่อดอลลาร์ น้ำมันดิบ 100-115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาวัตถุดิบไม่ผันผวน ตู้คอนเทนเนอร์เพียงพอ ซึ่งหากการส่งออกปีนี้โตถึง 10% ปีหน้ามีลุ้นยอดส่งออกแตะ 3 แสนล้านดอลลาร์”นายชัยชาญ กล่าว
อย่างไรก็ตามการส่งออกไทยจะโตถึง 10% ได้ต้องดูสถานการณ์ต่อจากนี้โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนชิปว่าจะคลี่คลายได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงปลายปีเพราะจะส่งผลต่อการส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเพราะในช่วงครึ่งปีแรกการส่งออกติดลบ 6%
รวมทั้งติดตามว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ ยุโรปและจีน จะรุนแรงมากแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐและยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทำกำลังซื้อผู้บริโภคลดลง
ขณะที่จีนกิจกรรมเศรษฐกิจเริ่มกลับมาหลังจากเปิดเมือง ซึ่งตัวเลขการส่งออกจีนในครึ่งปีแรกยังขยายตัวได้ 6% หากในช่วงครึ่งปีหลังจีนไม่กลับมาประกาศล็อคดาวน์ปิดประเทศอีกก็จะเป็นแรงหนุนต่อการส่งออกไทยได้อีก
ทั้งนี้ สรท.จะประเมินตัวเลขส่งออกอีกครั้งในเดือน ก.ย.2565 ก่อนปรับประมาณการณ์การส่งออกไทยปี 2565 แต่มั่นใจว่าการส่งออกจะยังเป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้
สรท.มีข้อเสนอแนะที่สำคัญเพื่อผลักดันการส่งออกและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน ประกอบด้วย
1.ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย คงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เพื่อประคองให้การฟื้นตัวภาคธุรกิจยังคงดำเนินการได้ และไม่เป็นการซ้ำเติมรายจ่ายของผู้บริโภคและต้นทุนของผู้ประกอบการมากเกินไป
2.ขอให้ธนาคารพาณิชย์ เร่งออกแคมเปญเพื่อช่วยเติมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการส่งออกตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต
3.การเร่งสร้างโอกาสทางการในตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ เช่น CLMV รวมถึงตลาดที่มีกำลังซื้อสูง เช่น กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซาอุดิอาระเบีย อิรัก เป็นต้น
4.การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ผ่านเครื่องมือหรือกลไกในการควบคุม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภคมากเกินไป
สำหรับสถานการณ์ค่าเงินบาทในเดือน ก.ค.2565 มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง ในกรอบ 35.44-36.83 บาท เนื่องจากสาเหตุสำคัญ คือ การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จากการดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐ นั่นคือการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อยู่ ณ ระดับ 2.5%
ประกอบกับการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ความต้องการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ค่าเงินบาทของไทยเคลื่อนไหวอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 15 ปี
ทั้งนี้ จากระดับอัตราเงินเฟ้อของประเทศหลักยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงเริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสอดรับกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ส่งผลต่อเนื่องกดดันให้ค่าเงินบาทในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่าเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ส่วนของไทยรอความชัดเจนจากการประชุม กนง.เดือน ส.ค.2565 แต่อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งมีปัจจัยหลากหลายที่อาจส่งผลกระทบและทำให้เกิดการผันผวนได้ง่าย อาทิ เงินทุนไหลเข้า ดุลบัญชีเดินสะพัด
ดังนั้น ผู้ส่งออกจึงควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีโอกาสผันผวนได้ง่ายในช่วงนี้
สำหรับการส่งออกของไทยเดือน มิ.ย.2565 มีมูลค่า 26,553 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.9% เมื่อหักทองคำ น้ำมันและอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกขยายตัว 10.4% ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,082 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 24.5% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือน มิ.ย.2565 ขาดดุลเท่ากับ 1,529 ล้านดอลลาร์
ส่วนภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่าการส่งออกรวมมูลค่า 149,184 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 12.7% และเมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วง ม.ค.-มิ.ย.ปีนี้ ขยายตัว 9%
ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 155,440 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 21% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือน ม.ค.-มิ.ย.2565 ขาดดุลเท่ากับ 6,255 ล้านดอลลาร์







