6 เดือน ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ จัดตั้งใหม่ พุ่ง 40.74 %

6 เดือน ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ จัดตั้งใหม่ พุ่ง 40.74 %

พาณิชย์ เผย 6 เดือนแรกปี 65 จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ 76 ราย เพิ่มขึ้น 40.74% ทุนจดทะเบียน 132.95 ล้านบาท อานิสงค์การฟื้นตัวจากโควิด-19 เร่งปรับธุรกิจเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค ใช้ไฟฟ้าแทน รองรับวิกฤตพลังงาน

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภายหลังสถานการณ์โควิด- 19 คลี่คลาย รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการเข้มงวดต่างๆ ลง ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจทุกภาคส่วนส่งสัญญาณการฟื้นตัวและกลับมาคึกคักอีกครั้ง หนึ่งในธุรกิจที่ฟื้นตัวจากพิษโควิด-19 อย่างชัดเจน คือ ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โดย 6 เดือนแรก (ม.ค. – มิ.ย.) ปี 2565 มีจำนวนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่  76 ราย เพิ่มขึ้น 40.74% ทุนจดทะเบียน 132.95 ล้านบาทสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีต่อธุรกิจและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

ทั้งนี้ ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ มีรูปแบบการให้เช่าเพื่อดำเนินงาน (Operating Lease) แบ่งเป็นการเช่าระยะยาวรายปี และการเช่าระยะสั้นชั่วคราว (Rental) (เช่ารายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน) โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มาจากบริษัทเอกชน หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการครอบครองรถยนต์ จากการซื้อเป็นการเช่ารถยนต์เพื่อใช้ในสำนักงาน เป็นการลดภาระทางการเงินในการซื้อรถยนต์ รวมทั้ง มีบริการซ่อมบำรุงและตรวจสภาพรถ

ขณะที่สถานการณ์ราคาน้ำมันและค่านิยมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมส่งผลต่อพฤติกรรมผู้ใช้งานรถยนต์ที่มีการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าแทนรถยนต์พลังงานสันดาป ส่งผลให้ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ฯ ปรับเปลี่ยนรถที่ให้เช่าเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า

6 เดือน ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ จัดตั้งใหม่ พุ่ง 40.74 %

 

นายสินิตย์ กล่าวว่า  นอกจากการเช่ารถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในหน่วยงานแล้ว ผู้ประกอบอาชีพอิสระก็ได้เปลี่ยนมาเช่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อใช้ในงานรับส่งพัสดุ สิ่งของ หรือผู้โดยสาร เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิง และไม่ต้องกังวลเรื่องการบำรุงรักษารถไฟฟ้า ซึ่งสอดรับกับจำนวนสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าที่ระยะเวลา 6 เดือน (ก.ย. 2564 – มี.ค. 2565) เพิ่มขึ้นถึง 14 %  ส่งผลให้เดือนมี.ค. 2565 มีจำนวนกว่า 944 สถานี กระจายอยู่เมืองใหญ่ทั่วประเทศ รองรับรถพลังงานไฟฟ้า เป็นการชี้ให้เห็นถึงการขยายตัวและปรับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ธุรกิจยังมีการปรับรูปแบบการดำเนินงาน โดยเพิ่มจุดรับรถเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการเช่ารถมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากรายได้ของธุรกิจให้เช่ายานยนต์ฯ ส่วนหนึ่งมาจากนักท่องเที่ยวที่ต้องการเช่ารถระหว่างการท่องเที่ยว แต่เนื่องจากสถานการณ์การท่องเที่ยวที่มีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา

ดังนั้น ธุรกิจให้เช่ายานยนต์ฯ จึงปรับตัวด้านการจัดการต้นทุนในส่วนของการลงทุนซื้อรถยนต์ ด้วยการให้ประชาชนทั่วไปเป็นหุ้นส่วนนำรถยนต์ส่วนตัวมาให้เช่าเป็นรายวัน ซึ่งบริษัทจะเก็บค่าคอมมิชชั่นจำนวนหนึ่ง และอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของรถยนต์ให้สามารถเลือกวันที่เจ้าของรถยนต์ต้องการจะให้เช่า และเจ้าของสามารถติดตามรถยนต์ของตนเองบนแอปพลิเคชั่นที่จัดทำขึ้น รวมถึง มีประกันภัยรถยนต์ เพื่อสร้างความสบายใจให้กับเจ้าของรถยนต์ที่มาร่วมเป็นหุ้นส่วนกับบริษัท ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ของการประกอบธุรกิจ เป็นการหารายได้พิเศษ และใช้ประโยชน์จากรถยนต์อย่างคุ้มค่า

 

 

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565) มีธุรกิจให้เช่ายานยนต์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวนทั้งสิ้น 2,045 ราย คิดเป็น  0.24%  ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ มูลค่าทุน 23,239.85 ล้านบาท คิดเป็น 0.11%  ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (609 ราย) ชลบุรี (166 ราย) ภูเก็ต (166 ราย) เชียงใหม่ (164 ราย) สุราษฎร์ธานี (98 ราย) สมุทรปราการ (82 ราย) ฯลฯ    

ภาพรวมของการลงทุนในธุรกิจฯ นักลงทุนชาวไทยครองแชมป์อันดับ 1 มูลค่าทุน 18,878.20 ล้านบาท รองลงมา คือ ญี่ปุ่น ทุน 3,963.18 ล้านบาท  รัสเซีย ทุน 69.55 ล้านบาท  ฝรั่งเศส ทุน 56.14 ล้านบาท  และสัญชาติอื่นๆ ทุน 272.78 ล้านบาท   

ธุรกิจฯ มีรายได้โดยเฉลี่ยประมาณ 46,500 ล้านบาทต่อปี (รายได้รวม ปี 2562 จำนวน 55,398.50 ล้านบาท ปี 2563 จำนวน 44,101.63 ล้านบาท ลดลง 20 % และ ปี 2564 จำนวน 39,991.03 ล้านบาท ลดลง 9 % ขณะที่ผลประกอบการมีกำไรโดยเฉลี่ยประมาณ 3,230 ล้านบาทต่อปี  กำไรรวม ปี 2562 จำนวน 5,534.46 ล้านบาท ปี 2563 จำนวน 2,507.14 ล้านบาท ลดลง 55% และ ปี 2564 จำนวน 1,651.57 ล้านบาท ลดลง 34ถ%