บทสรุปศึกซักฟอก “จุรินทร์” แจงดีแต่คะแนนร่วง

บทสรุปศึกซักฟอก “จุรินทร์” แจงดีแต่คะแนนร่วง

“จุรินทร์” ที่โหล่ ไว้วางใจ เจอศึกหนัก ทั้งในและนอกพรรค จับตาเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรี หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี

ถือเป็นเซอร์ไพส์ คาดไม่ถึง สำหรับการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้คะแนนไว้วางใจน้อยที่สุดในรัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ซึ่งนายจุรินทร์ ที่สวมหมวกอีกใบคือ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้คะแนนเสียงไว้วางใจ 241 เสียง ไม่ไว้วางใจ 207 เสียง งดออกเสียง 23 เสียง ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่นักการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 11 สมัยจะได้รับคะแนนไว้วางใจในอันดับ”บ๊วย”   

ประเด็นที่”จุรินทร์”ถูกซักฟอกมี 2 เรื่องใหญ่ คือ การทุจริตการจัดซื้อถุงมือยางแสนล้านขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ภาค 2 และปัญหาค่าครองชีพ การดูแลราคาสินค้า เริ่มจากคดีทุจริตถุงมือยางที่ฝ่ายค้านเปิดประเด็นถึงความล่าช้าการจัดการคนที่ทุจริต เป็นการเอื้อประโยชย์ให้กับผู้ทุจริตและ ปล่อยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้ทุจริตมีความใกล้ชิดกับนายจุรินทร์ และไม่ยอมอายัดเงินให้ทันเหตุการณ์ และมีเจตนาทอดเวลาทำให้กลุ่มผู้ทำการทุจริตไปฟอกเงินกระจายไปยังบัญชีต่างๆ จนไม่สามารถติดตามคืนมาได้  

แต่นายจุรินทร์ก็ชี้แจงไม่ได้เพิกเฉย ดำเนินการตามกระบวนการเพื่อนำเงินและฟ้องร้องผู้ที่มีส่วนร่วมในการทุจริตไม่ได้ล่าช้าตามที่กล่าวหา ไล่ไปตั้งแต่การตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง การสอบสวนเอาผิดทางวินัย เอาผิดทางละเมิด และการยื่นฟ้องกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) การยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ป.ป.ง.) เพื่อติดตามเส้นทางการเงินค่ามัดจำ 2 พันล้านบาท ยืนยันว่า ไม่ปล่อยปละละเลย และมไม่ให้คนกระทำผิดลอยนวล 

ขณะที่ปัญหาค่าครองชีพ การดูแลราคาสินค้า ที่ถือเป็นปัญหาปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะของแพง ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน เงินในกระเป๋าไม่เพียงพอกับรายจ่ายเพื่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน  ซึ่งนายจุรินท์ เน้นย้ำถึงการบริหารจัดการโดยใช้โมเดล วิน-วิน คือ ทุกฝ่ายต้องได้ประโยชน์ทั้งผู้บริโภค ผู้ผลิต และผู้จำหน่าย  ยึดหลัก หากต้นทุนไม่ขึ้น ก็ไม่ให้ขึ้นราคาสินค้า พร้อมทั้งขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าให้นานที่สุด และหากต้นทุนลดลงราคาสินค้าก็ต้องลดลงด้วย 

ในช่วงตั้งแต่ธ.ค.65 มีผู้ประกอบการยื่นของปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค รวม 127 ครั้ง 11 หมวด 61 บริษัท 116 ยี่ห้อ สินค้า 936 รายการ มีทั้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง นม ผงซักฟอก ผ้าอนามัย น้ำยาล้างจาน เป็นต้น แต่กระทรวงพาณิชย์ยังไม่”ไฟเขียว”ให้ขึ้นราคา โดยขอให้ตรึงราคาไว้ให้นานที่สุดเพื่อช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชน 

การชี้แจงของนายจุรินทร์ ถือว่ามีความชัดเจนทั้งเรื่องการทุจริตจัดซื้อถุงมือยางที่ต้องทำไปตามกระบวนการกฎหมาย ส่วนปัญหาค่าครองชีพซึ่งต้องยอมรับสถานการณ์ปัจจุบันต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้นจากปัจจัยภายนอก แต่กระทรวงพาณิชย์ก็พยายามที่จะดูแลค่าครองชีพของประชาชนไม่สูงจนเกินไป ซึ่งก็ทำได้ดี

อย่างไรก็ตามเสร็จศึกอภิปรายครั้งนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามกันต่อไปเมื่อฝ่ายค้านก็ยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.เอาผิดนายจุรินทร์ที่เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ กรณีการทุจริตถุงมือยาง ส่อว่ารู้เห็นเป็นใจกับประธานคณะกรรมการ อคส. อันเป็นความผิดต่ออำนาจหน้าที่ตามพ.ร.ก.จัดตั้งองค์การคลังสินค้า (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2535 และปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย และมีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 

ด้านการเมือง  เชื่อได้ว่า เอฟฟเฟกต์ทางการเมืองตามมาแน่นอน เพราะยี่ห้อพรรคประชาธิปัตย์ย่อมไม่ให้ผ่านไป ซึ่งการได้คะแนนอันดับบ๊วย ย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆเพราะผลโหวตในอันดับสุดท้าย ส่งผลต่อภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  โดยเฉพาะคะแนนเสียงยังน้อยกว่า รัฐมนตรีในพรรคที่ถูกคาดการณ์ว่า น่าจะได้รับเสียงไว้วางใจน้อยอย่าง”จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่ากระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  และนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย  

แม้ว่า เจ้าตัวจะไม่ติดใจในเสียงโหวตเพราะยังต้องทำงานร่วมกันจึงต้อง ถนอมน้ำใจกันไว้    แต่..ในทางการเมืองคงนิ่งเฉยได้ยากดูจากสัญญาณการแถลงข่าวของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ “ราเมศ รัตนะเชวง” ที่ออกมาระบุว่า มี 3 เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่งดออกเสียงจึงเป็นเหตุให้คะแนนออกมาเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับว่าพรรคก็ติดใจและไม่พอใจในส่วนนี้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดในวันข้างหน้า ด้านนายชวน หลีกภัย  ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และประธานสภาผู้แทนราษฏร ออกมาพูดเป็นนัยๆว่า ผลคะแนน ถือเป็นความจริง สะท้อนจากเสียงสมาชิก ที่ไม่มีการต่อรองอะไรเป็นพิเศษ และเป็นหลักของพรรคการเมือง  

ผลโหวตของ”นายจุรินร์”ยิ่งตอกย้ำความไม่เป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล และคลื่นใต้น้ำภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง คงต้องจับตาการเมืองจากนี้ไปทั้งจากภายในพรรคและนอกพรรคโดยเฉพาะการปรับครม..ใครจะอยู่หรือไปอีกไม่ช้าคงได้เห็นกัน