‘ท๊อป - จิรายุส ’ ถอดสูตร ซีอีโอ ผู้เชื่อมั่นว่า ‘บิตคอยน์’ จะมาเปลี่ยนแปลงโลก

‘ท๊อป - จิรายุส ’ ถอดสูตร ซีอีโอ  ผู้เชื่อมั่นว่า ‘บิตคอยน์’ จะมาเปลี่ยนแปลงโลก

รายการ SUITS ถอดสูตรความสำเร็จ ฉบับ CEO ของ “กรุงเทพธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้ง และ Group CEO บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์

กว่าจะมาเป็น “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้พลิกโฉมหน้าวงการไฟแนนซ์ของไทย กับความเชื่อว่า “บิตคอยน์จะมาเปลี่ยนแปลงโลก” นั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะกลับโดนต่อต้านต่างๆ นานา หากวันนั้นเขาไม่กัดฟันสู้ เราคงจะไม่มีดิจิทัลคอมพานี ที่เจ้าของเป็นคนไทย อย่าง “บิทคับ” ในวันนี้

"ท๊อป-จิรายุส” เล่าย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีก่อน ที่เขารู้จักกับ “บิตคอยน์” ครั้งแรก หลังเรียนจบการศึกษาปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Oxford (University of Oxford) และบินไปทำงานที่แรก กับบริษัทเกี่ยวกับ Investment Banking ใน เซี่ยงไฮ้ เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน และทำเกี่ยวกับ Pink sheets (การซื้อขายหุ้นราคาถูกที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ โดยซื้อขายผ่านเคาน์เตอร์ OTC Bulletin board) 

‘ท๊อป - จิรายุส ’ ถอดสูตร ซีอีโอ  ผู้เชื่อมั่นว่า ‘บิตคอยน์’ จะมาเปลี่ยนแปลงโลก

โดยพบว่า Penny Stock (หุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ต่อ 1 หุ้น) อะไร? ที่ราคาเหรียญพุ่งขึ้นกว่า 10,000% จากราคาเหรียญละ 11 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นเป็น 1,150 ดอลลาร์ ในเวลาอันรวดเร็ว นั่นคือ “บิตคอยน์” นั่นเอง

 ทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจกับบิตคอยน์ แล้ว มันคืออะไร? เป็น Financial Asset สินทรัพย์แบบใหม่อย่างนั้นหรือ? จนกระทั่งไปเจอกับบทความบน Blog หนึ่งที่เขียนเกี่ยวกับ บิตคอยน์ มีชื่อบทความว่า “Why Bitcoin Matters” ที่เขียนโดย Marc Andreessen เป็นผู้ก่อตั้ง Web Browser เว็บแรกของโลกที่มีชื่อว่า Netscape

โดยบทความดังกล่าว Marc ให้มุมมองว่า “บิตคอยน์จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการการเงินของโลกในอนาคต” ซึ่งบทความนี้เขียนไว้เมื่อราวๆ เกือบสิบปีก่อน ก่อนที่บิตคอยน์จะเป็นที่รู้จักเช่นในวันนี้ นั่นหมายความว่า Marc  มองอนาคตข้ามชอร์ตกว่าคนทั่วไปล้ำหน้ากว่า 10 ปี

จากนั้นเขาตัดสินใจทันที โดยกลับมาสมัครงานที่ San Francisco ประเทศสหรัฐ เป็นที่ปรึกษาที่ Market Street, Bank of America แต่ทำงานได้เพียงสัปดาห์เดียวก็รู้ทันทีเลยว่า “ไม่ใช่”

ในตอนนั้น "ท๊อป-จิรายุส" กล่าวว่า "ผมก็ยังค้นหาตัวเองว่าชอบไม่ชอบอะไร พยายามนึกถึงเพื่อนๆ ที่รู้จักว่า พอจะมีใครรู้จักคนวงในของ Sillicon Valley บ้าง จนกระทั่งเพื่อนคนหนึ่งได้นัดให้พบกับ Dan Schatt (อดีต) ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของ Paypal บริษัทรับชำระเงินออนไลน์ระดับโลกในเวลานั้น ที่ร้านแพนเค้ก

 และเปิดประโยคคำถามแรกว่า “Dan คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ บิตคอยน์ บ้าง” โดย Dan ก็ตอบกลับมาว่า “คุณรู้ไหมว่า paypal จริงๆ แล้วตั้งใจที่จะสร้าง Digital Dollar แต่สมัยนั้น เทคโนโลยีไม่เอื้อ แต่คนรุ่นคุณเป็น The Luckier Generationที่โชคดีมากเติบโตมาเพียบพร้อมกับเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวยทุกอย่าง” 

และนี่ก็เป็นอีกครั้งทำให้ “ท๊อป-จิรายุส” เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า “บิตคอยน์” ต้องมาเปลี่ยนแปลงโลกนี้อย่างแน่นอน

เส้นทางสู่จุดเริ่มต้น “บิทคับ”

หลังจากพบ Dan ในวันนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของ “ท๊อป-จิรายุส” ไปตลอดกาล เขาตีตั๋วบินกลับมาเมืองไทย แล้วปรึกษาที่บ้านว่า “อยากเปิดสตาร์ทอัพที่ทำเกี่ยวกับ บิตคอยน์”  โดยบริษัทแรกของเขามีชื่อว่า คอยส์ ไทยแลนด์ (Coins Thailand) และสถานที่แรกที่เขาใช้เป็นออฟฟิศคือ ชั้นลอยของร้านขายเสื้อผ้าของคุณแม่ที่ประตูน้ำ ซึ่งตอนหลังบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่จากประเทศอินโดนีเซีย Gojek ติดต่อขอเข้าซื้อกิจการ

“ท๊อป-จิรายุส” ย้อนเล่าเหตุการณ์วิกฤติ ที่ถาโถมเข้ามาเมื่อ 8 ปีก่อนว่า ครอบครัวไม่ได้ห้ามแต่ไม่เข้าใจ มีคำถามมากมายตามมาว่า "สตาร์ทอัพ คืออะไร ต่างกับเอสเอ็มอีอย่างไร และ บิตคอยน์ ยิ่งไม่มีใครรู้จัก 

หลังจากเปิดบริษัทก็โดนทั้ง สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สรรพากร เรียกตัวเข้าไปสอบสวน  และตลอดเวลาเราจะได้ยินแต่ว่า  บิตคอยน์ คือ แชร์ลูกโซ่ ฟอกเงิน ตลาดมืด หรือแม้แต่ เงินของเล่น

"ผมใช้เวลาทั้งหมดของชีวิต ทุ่มไปกับความคิด ความเชื่อ ที่ว่าบิตคอยน์ เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่จะมาเปลี่ยนโลกใบนี้ พยายามชี้แจงกับครอบครัว ผู้คน ทุกหน่วยงานภาครัฐ  ต้องก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงโลกต่อไป  เงินจะไม่ใช่กระดาษ ไม่ใช่ เฟียตมันนี  แต่จะกลายเป็นเงินดิจิทัล

เมื่อเกิดการไม่เข้าใจกันระหว่างสองเจเนอเรชั่น “ท๊อป-จิรายุส” ยังต้องพิสูจน์กันอีกหลายสนาม จากครอบครัว ไปสู่การปิดช่องว่างกับคนในวงการไฟแนนซ์ 

แต่เขาไม่ล้มเลิกความตั้งใจและเดินหน้าต่อสู้ จนเป็น “บิทคับ” มีนักลงทุน 3 กลุ่ม คือ สยามราชธานี ,dtac Accelerate และSeaX Ventures มีอัตราการเติบโตของธุรกรรมต่อวันสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2559 บริษัทของเขาก็กลายเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับ บิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้       

เป้าหมายและความฝันของ “บิทคับ” 

 “ท๊อป-จิรายุส”มุ่งมั่นในเป้าหมายเดียวมาตลอด “บิตคอยน์จะมาเปลี่ยนแปลงโลก”  และทำความฝันให้เป็นจริงทีละอย่าง “ท๊อป-จิรายุส” กล่าวว่า ผมมี 2 ความฝันใหญ่จะเดินไปพร้อมกัน  คือ ความฝันคือ "การสร้าง digital infrastructure ของประเทศ ที่จะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะเกิดเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดในเมืองไทยให้ได้

"บิทคับ เป็นยูนิคอร์นรุ่นแรกของคนไทย ที่อยากออกบุกตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปีนี้ เพื่อที่จะชนะและนำเงินกลับเข้ามาในไทยบ้าง เรายังดื้อที่จะอยู่ในไทย กัดฟันสู้  เพื่อให้มีเศรษฐกิจรุ่นใหม่ เกิดขึ้นในประเทศให้ได้ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีดิจิทัลคอมพานีของคนไทย”

และอีกหนึ่งความฝันคือ  "การผลักดัน บิทคับเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทยแห่งแรกที่เป็นบริษัทคนไทย 100% เข้าไปจดทะเบียนในตลาดแนสแด็ก ประเทศสหรัฐ ให้ได้

 “เราอยากให้คนไทยทุกคนได้มีโอกาสเป็นเจ้าของดิจิทัลคอมพานี ที่เป็นบริษัทไทยแท้ 100%  และเป็นเจ้าของเทคโนโลยีร่วมกันและเป็นบริษัทคนไทยแห่งแรก ที่เข้าอยู่ในตลาดแนสแด็กให้ได้ ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน” 

พิสูจน์ ด้วยการกระทำ โชว์ผลลัพธ์

หากวันนั้นเขาไม่กัดฟันสู้ เมืองไทยจะไม่มีดิจิทัลคอมพานี ที่เจ้าของเป็นคนไทย ซึ่งเขาไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ตลอดในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ “ท๊อป-จิรายุส” ต้องเดินสายกว่า พันเวที ทุ่มเทเวลา เรียกว่า 1 สัปดาห์ มี 7 วัน 1 วันมี 24 ชั่วโมง แทบจะอุทิศเวลาให้กับการทำงาน 

 เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า “สิ่งที่เขากำลังทำอยู่มันคือ อนาคต หากไม่ปรับตัวให้ทัน เราจะเสียโอกาสมากขนาดไหนที่จะสร้างการเติบโตอีกครั้งในกระแสการเปลี่ยนแปลงรอบใหม่ของโลกใบนี้”

 กว่าจะมาเป็น “ท๊อป -จิรายุส” แนวหน้าของวงการคริปโทเคอร์เรนซี ในวันนี้ได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์