เดือดร้อนกระทั่ง “น้องหมา” สินค้าแพง พ่นพิษลามสัตว์เลี้ยง ต่อจากผู้บริโภค

เดือดร้อนกระทั่ง “น้องหมา” สินค้าแพง พ่นพิษลามสัตว์เลี้ยง ต่อจากผู้บริโภค

สถานการณ์ข้าวของแพง ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคเท่านั้น เพราะ “หมา” เดือดร้อนด้วย หลังจากราคาอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งเพดดีกรี อัลโป ปรับตัวขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว

มิลินทร์ วีระรัตนโรจน์ ประธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งงี่สุน ซูเปอร์โสตร์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก ผู้เล่นรายใหญ่จังหวัดอุดรธานี โดยมีร้านอยู่ 2 สาขา แต่ละปีสามารถทำยอดขายหลัก “พันล้านบาท” ล่าสุด ฉายภาพสภาวะการจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตหมวดต่างๆ มีการ “ปรับขึ้นราคา” กันถ้วนหน้า ทั้งของกินของใช้หรือสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึง อาหารสัตว์เลี้ยง

ทั้งนี้ อาหารสุนัข ทั้ง “เพดดีกรี” และ “อัลโป” มีการขยับขึ้นราคาเฉลี่ยเกือบ 10% และการปรับราคาเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

“ตอนนี้สินค้าแพง เดือดร้อนกระทั่งสุนัข เพราะอาหารสัตว์ทั้งเพดดีกรี อัลโป ขึ้นราคาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคมที่ผ่านมา”

นอกจากอาหารสุนัข ล่าสุดสินค้าค้าที่ประกาศขึ้นราคา 1 บาท คือ “น้ำตาลทรายมิตรผล” ซึ่งจะมีผลเดือนสิงหาคม เป็นต้นไป เดิมน้ำตาลที่บริโภคภายในประเทศถือเป็นสินค้าควบคุมราคา แต่หลังจากนโยบายลอยตัวราคาน้ำตาล ทำให้ต้นทุนและกลไกราคาสินค้ามีผลกระทบจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกด้วย

มิลินทร์ กล่าวอีกว่า ต้นปีที่ผ่านมา สินค้าจำเป็นหลายรายการที่อยู่ภายใต้การ “ควบคุม” และไม่ควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์ ต่างขยับเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า โดยสินค้าควบคุม “ราคาปลีก” ยังคงเดิม แต่ “ราคาขายส่ง” ไปยังร้านค้าปลีก-ค้าส่ง ที่เป็น “กลางน้ำ” มีทั้งขึ้นราคา หรือลดการให้ส่วนลด ของแถมต่างๆ ทำให้ “กำไร” ของร้านหดตัวลง

ตัวอย่างราคาสินค้าขายส่งที่ขยับ เช่น ขนมขบเคี้ยว(สแน็ก) ขนมขึ้นรูปจำหน่าย 12 ซอง(โหล) เคยให้ของแถม จะลดปริมาณของแถมลง หรือผลิตถัณฑ์ที่ราคาขายปลีกแนะนำหน้าบรรจุภัณฑ์ 50 บาท จากเคยให้ร้านค้ามีส่วนต่างจำหน่ายปลีก 45 บาทต่อชิ้น ต้องขายเป็น 48 บาทต่อชิ้น น้ำมันพืชมีการปรับขึ้นหลายระลอก สบู่ กระดาษชำระ เช่นกัน

สิ่งที่น่าสนใจ เมื่อสินค้าแพงขึ้น เป็นโอกาสของ “แบรนด์รอง” ในการโกยส่วนแบ่งทางการตลาดด้วย มิลินทร์ เล่าว่า หมวดเครื่องดื่มชูกำลัง เมื่อยักษ์ใหญ่ “โอสถสภา” ขึ้นราคา “M-150” จาก 10 บาท เป็น 12 บาท ที่แม้จะเป็นเบอร์ 1 แต่เมื่อกำลังซื้อ เงินในกระเป๋าผู้บริโภคน้อยลง ทำให้หันไปบริโภคแบรนด์ “คู่แข่ง” เบอร์ 2-3 อย่าง “คาราบาวแดง” และ “กระทิงแดง” แทน ซึ่งผู้ผลิตยังกัดฟันตรึงราคาสินค้าหลักที่ 10 บาทต่อขวด

“ตอนนี้การขาย M-150 ค่อนข้างเงียบ ผู้บริโภคสวิทช์แบรนด์ไปหากระทิงแดง คาราบาวแดง ขายดีขึ้น เพราะยังไม่มีการขึ้นราคา ซึ่งการฝืนจำหน่ายสินค้าราคาเดิม เกมนี้จะทำให้ผู้ผลิตอาจมีกำไรน้อยแต่ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดขยับขึ้น”

นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อที่ชะลอตัว ผู้บริโภคเกิดการ “เบรก” ใช้จ่ายพอสมควร และมีผลต่อยอดขายสินค้าบางหมวด ทำให้ผู้ผลิตจากที่ขึ้นราคาขายส่ง ต้องปรับลดลงมาขายราคาเดิม เพื่อให้ยอดขายเดินหน้าได้ เช่น หมวดกะทิสำเร็จรูป ขนมขึ้นรูป เช่น สินค้าเดิมจำหน่าย 48 บาท ปรับขึ้นเป็น 51 บาท สุดท้ายหั่นราคาส่งมาที่ 48 บาทเช่นเดิม