กรุงไทย โชว์กำไรครึ่งปีแรก 1.7หมื่นล้าน โต 48% หลังสินเชื่อโตแบบมีคุณภาพ

กรุงไทย โชว์กำไรครึ่งปีแรก 1.7หมื่นล้าน โต 48% หลังสินเชื่อโตแบบมีคุณภาพ

ธนาคารกรุงไทย เดินหน้าเติบโตสินเชื่ออย่างสมดุล พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม หนุนผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 6 เดือนแรก โต 48 %

      นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากความมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ธนาคารสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม ความถี่เข้าใช้งานมากขึ้น

     หนุนปริมาณธุรกรรมเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงการวางยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์การยกระดับผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคาร ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้ดียิ่งขึ้นในทุกมิติ

      โดยสามารถขยายความร่วมมือกับพันมิตรต่างๆได้หลากหลาย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน สามารถเชื่อมโยง Ecosystem ต่างๆ ครอบคลุมทั้งการขับเคลื่อนมาตรการภาครัฐ บริการด้านสุขภาพ การออมและการลงทุน

     เช่น บริการซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัล บริการ Gold Wallet และสลากดิจิทัล ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำสถิติขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว และธนาคารเริ่มเห็นผลลัพธ์จากความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับความสมดุลระหว่างคุณภาพสินเชื่อและผลตอบแทน
จากความมุ่งมั่นดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของธนาคารดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    โดยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 17,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 48 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัวร้อยละ 4.9 จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ

       ทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย รวมถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับร้อยละ 2.50 ประกอบกับบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี

     รวมถึงค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงร้อยละ 0.7 ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 41.86 ลดลงจากร้อยละ 43.33 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

      ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 31.0 แต่ยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 174.3 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
       สำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 8,358 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39

     มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 ทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเติบโตของสินเชื่อ และการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในภาพรวม

    ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับร้อยละ 42.48 ซึ่งโดยรวมอยู่ในระดับคงที่จากไตรมาส 2 ปี 2564
     ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,669 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 30.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการตั้งสำรองไว้ในระดับสูง โดยธนาคารยังยึดหลักการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบกับคุณภาพของสินทรัพย์      

    ประกอบกับติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) ร้อยละ 3.32 ลดลงเมื่อเทียบสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับร้อยละ 3.50

     และยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ร้อยละ 174.3 เทียบกับร้อยละ 168.8 เมื่อสิ้นปี 2564
เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลงร้อยละ 4.8 เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด

     ถึงแม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวได้ดีจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อ ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงระดับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ยึดหลักระมัดระวัง โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา