ธอส.พร้อมตรึงดอกเบี้ยหนุนอสังหาฯ โตได้ต่อเนื่อง

ธอส.พร้อมตรึงดอกเบี้ยหนุนอสังหาฯ โตได้ต่อเนื่อง

ธอส.ชี้ธุรกิจอสังหาฯ ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยธนาคารพร้อมสนับหนุนสินเชื่อ ด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยให้ช้าที่สุด ท่ามกลางทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวในหัวข้อวิกฤติโควิด สู่ไฟสงคราม "อสังหาฯไทย" จะไปทางไหน? ว่า ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์โควิดได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชน ซึ่งภาครัฐก็ได้ออกมาตรการมาดูแล แต่ขณะนี้ ผลกระทบตัวใหม่เกิดขึ้นจากภาวะสงคราม ส่งผลต่อต้นทุนในเรื่องของราคาสินค้า และพลังงาน ซึ่งก็จะกระทบต่อภาคธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับที่อยู่อาศัยนั้น ไม่ได้กระทบทั้งหมด 100% จะเห็นว่า ที่ผ่านมา กำลังซื้อของคนชั้นกลาง และระดับบนยังอยู่ได้ จากสินเชื่อที่ธนาคารได้ปล่อยไป และรวมถึง นโยบายดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมาที่ทรงตัวในระดับต่ำ

อย่างไรก็ดี ในช่วงนี้ ทุกคนมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับจะต้องปรับเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% แต่หากเรามองย้อนไปในปี 58-59 จะพบว่า อัตราดอกเบี้ยในขณะนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.5% เราก็ยังอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าธนาคารกลางสหรัฐหรือดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับเพิ่มขึ้นเท่าไร แต่บทบาทของ ธอส.ก็ยังคงสนับสนุนให้คนไทยมีบ้าน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรากหญ้า ขณะนี้ เราปล่อยสินเชื่อให้ในโครงการบ้านล้านหลังแล้วถึง 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการก็ได้ปรับตัวรองรับ

ทั้งนี้ ในปีก่อน เราสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 2.26 แสนล้านบาท ในระยะครึ่งปีนี้ เราปล่อยได้แล้วกว่า 1.06 แสนล้านบาท คาดทั้งปีจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 2.6-3 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี จะต้องดูผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย แต่เราก็ได้กันสำรองไว้แล้วถึง 180% ปัจจุบันเรามีสินทรัพย์สูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท

สำหรับหนี้เสียนั้น ถ้าจะต้องปรับเพิ่มขึ้น เรามองว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเราเข้ามาแบกรับกลุ่มสินเชื่อที่ถูกปฏิเสธจากแบงก์พาณิชย์ ทำให้เราสามารถเข้ามาชดเชยตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ได้ แต่เราก็ยังคงบริหารความเสี่ยง ฉะนั้น ก็ขอให้เชื่อมั่นว่า ไม่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นอย่างไร ทางธนาคารก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ในการสนับสนุนสินเชื่อ และมองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงไปได้

“เรามองว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงแข็งแรง ต่างจากปี 2539 และมองว่า เรามีประสิทธิภาพที่จะปรับตัวรองรับกับปัจจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ทั้งนี้ ในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยนั้น หาก กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5%ในเดือนส.ค.นี้ เราจะปรับขึ้นในเดือนต.ค.ในอัตราต่ำกว่าหรืออยู่ที่ 0.15% จากนั้น หาก กนง.ปรับขึ้นอีก เราจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงเดือนม.ค.ปีหน้า

“ผลกระทบกับเรานั้น เราจะรับภาระไปประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนปีหน้า เราเตรียมตัวไว้อีกหลายพันล้านบาท เพื่อดูแลผู้กู้ โดยเรามีหน้าที่ที่จะทอดเวลาเพื่อให้ลูกค้าแข็งแรง โดยจะไม่เอาทรัพย์ออกขาย แต่จะปรับโครงสร้างหนี้เพื่อให้ลูกค้าอยู่ได้”

เขายังกล่าวด้วยว่า สำหรับลูกค้าที่ต้องการจะรีไฟแนนซ์เงินกู้ควรจะพิจารณาถึงต้นทุนในภาพรวมด้วยว่า จะสูงกว่าอยู่กับแบงก์เดิมหรือไม่ หากคำนวณแล้วสูงกว่าก็ไม่สมควรที่จะรีไฟแนนซ์ ซึ่งในทางปฏิบัติหากลูกค้ายังเลือกที่จะอยู่กับแบงก์เดิม แนะนำว่า ลูกค้าควรไปปรึกษากับแบงก์เดิมเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้จะดีกว่า ทั้งนี้ ในส่วนของแบงก์เองพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่อลดภาระให้แก่ลูกค้า

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์