เงินบาทวันนี้เปิด‘อ่อนค่า’สุดรอบ5ปีกว่าครั้งใหม่ ที่ 35.94 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทวันนี้เปิด‘อ่อนค่า’สุดรอบ5ปีกว่าครั้งใหม่ ที่ 35.94 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์จากการแข็งค่าของดอลลาร์ หลังตลาดยังคงกังวลภาพเศรษฐกิจถดถอยอยู่ แต่ระวังจุดกลับตัวหากประชุมเฟดปลายเดือนนี้ ไม่ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ย มองกรอบเงินบาทวันนี้ ที่ระดับ 35.85-36.05 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาด ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้(6ก.ค.) ที่ระดับ35.94 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.80 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ35.85-36.05 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า การอ่อนค่าอย่างรวดเร็วจนแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์ นั้นหลักๆ แล้วมาจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงการอ่อนค่าลงหนักของสกุลเงินฝั่งยุโรป จากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลักเสี่ยงถดถอย ทำให้เรามองว่า หากตลาดยังคงกังวลภาพเศรษฐกิจถดถอยอยู่ เงินดอลลาร์ก็ยังมีโอกาสได้แรงหนุนต่อเนื่อง กดดันเงินบาทอ่อนค่าลงได้ 

ทั้งนี้ จุดกลับตัวของเงินดอลลาร์อาจเกิดขึ้นในช่วงการประชุมเฟดปลายเดือนก.ค.นี้ หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง แต่ความเสี่ยงเงินบาทอ่อนค่าทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์ยังมีอยู่ หากทางการจีนกลับมาใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง หลังเริ่มมีรายงานยอดผู้ติดเชื้อในจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากภาพดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ไทยก็เริ่มเจอการระบาดระลอกใหม่ ก็อาจยิ่งกดดันค่าเงินบาท ผ่านแรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะแรงเทขายหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและธีมการเปิดเมือง (Reopening Theme)

อย่างไรก็ดี  เรามองว่า ความผันผวนสูงของเงินบาทในช่วงนี้ อาจทำให้ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยลดความผันผวนลงได้ ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับกลยุทธ์ปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ทัน นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้ส่งออกอาจเริ่มกลับมาทยอยขายเงินดอลลาร์ได้ หลังเงินบาทอ่อนค่าแตะโซน 36 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้เช่นกัน ขณะที่ผู้นำเข้าส่วนใหญ่ได้ทยอยซื้อเงินดอลลาร์ไว้พอสมควรแล้ว ทำให้ภาพ Panic Buy เงินดอลลาร์จากผู้นำเข้าอาจไม่ได้เกิดขึ้น และมองว่าผู้นำเข้าอาจรอจังหวะการย่อตัวของเงินบาทกลับมาต่ำกว่า 36 บาทต่อดอลลาร์

ตลาดการเงินผันผวนหนักและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจหลัก อย่างสหรัฐฯ และ ยุโรป อาจชะลอตัวลงหนักจนเข้าสู่สภาวะถดถอย หลังจากที่ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดจากฝั่งยุโรป อย่างดัชนี PMI ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอยดังกล่าวนั้น ได้กดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงหนักกว่า -10% ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นนักลงทุนก็พากันเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ทำให้ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ดิ่งลงกว่า -2.11% นำโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่าง กลุ่มพลังงาน BP -7.0%, Total Energies -6.4% และกลุ่มการเงิน Santander -3.2%, HSBC -3.0%

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวลงไปกว่า -2.0% ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้น จนปิดตลาดที่ +0.16% หนุนโดยแรงซื้อ Buy on Dip หุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Alphabet (Google) +4.2%, Amazon +3.6% ซึ่งแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯ รวมถึงหุ้นสไตล์ Innovation (ARK Innovation ETF +9.1%) นั้นมาจากการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มประเมินว่าเฟดอาจไม่สามารถเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงได้ หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงชัดเจน

ทางด้านตลาดบอนด์ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยยังคงกดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อสู่ระดับ 2.82% ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ISM Services PMI (รายงานวันนี้), ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมและอัตราการว่างงาน (รายงานวันศุกร์นี้) และรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด จากรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (วันพฤหัสฯ) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจทรงตัวหรือปรับตัวลดลงได้ หากตลาดเชื่อว่า เฟดจะไม่สามารถเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงและเริ่มปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยสูงสุดของเฟด (Terminal Rate) กลับกัน หากตลาดมองว่าเฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจหนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาได้ แต่การปรับตัวขึ้นก็อาจถูกชะลอด้วยแรงซื้อพันธบัตรเพื่อถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 106.5 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ท่ามกลางความกังวลเศรษฐกิจถดถอย นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่ารุนแรงของ สกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินยูโร(EUR) และ เงินปอนด์ (GBP) หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด สะท้อนภาพการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจ ทั้งนี้การแข็งค่าหนักของเงินดอลลาร์ ยังคงเป็นอุปสรรคที่กดดันให้ ราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงก็ตาม โดยล่าสุด ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1,768 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2021 ทั้งนี้ โซน 1,740-1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเป็นโซนแนวรับที่สำคัญ ซึ่งผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะเข้ามาซื้อทองคำได้ แต่ผลข้างเคียงของโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

สำหรับวันนี้ เรามองว่า ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยจะทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด หรือแย่กว่าคาด สามารถส่งผลต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของเฟดได้ โดยตลาดมองว่า ภาคการบริการของสหรัฐฯ ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 70% ของเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงสะท้อนผ่าน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) เดือนมิถุนายนที่จะลดลงสู่ระดับ 54 จุด (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว) นอกจากนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง  John Williams รวมถึงรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (รับรู้รายงานในช่วงเช้าตรู่วันพฤหัสฯ) ซึ่งเฟดได้ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เพื่อประเมิน ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายเฟด โดยเฉพาะมุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ท่ามกลางความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและอาจเข้าสู่สภาวะถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น