Healthcare sector เกณฑ์ใหม่รักษาโควิด กระทบรายได้โรงพยาบาล

Healthcare sector เกณฑ์ใหม่รักษาโควิด กระทบรายได้โรงพยาบาล

ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป สปสช.จะยกเลิกระบบ HI และการรักษาในโรงพยาบาลนอกสิทธิ์ ในขณะที่ SSO จะยังคงให้เบิกจ่าย HI ได้ แต่ปรับลดราคาลงเหลือเพียง 2,250 บาท จากเดิม 12,000 บาท ซึ่งจะกระทบกับรายได้ และอัตรากำไรขั้นต้นของโรงพยาบาลอย่างมากใน 3Q 

ทั้งนี้ BCH และ CHG ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เราแนะนำถือ BCH และ CHG  เราชอบ BDMS และ BH มากกว่าเนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากเกณฑ์ใหม่น้อยกว่า (รายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด คิดเป็น 19% และ 14% ตามลำดับ)  

 

สปสช. ยกเลิกระบบรักษาที่บ้าน (HI)

รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น แต่ผู้ป่วยโควิด ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช., บัตรทอง) ที่มีอาการไม่มาก (ผู้ป่วยสีเขียว) จะสามารถเข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกที่สถานพยาบาลตามสิทธิ์โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป  รายได้ HI (สปสช.จ่าย 120,000 บาท/เคส (7+3 วัน) จนถึงวันที่ 30 เมย. และ 6,000 บาท/เคส จนถึงวันที่ 30 มิ.ย.) เป็นรายได้หลักของโรงพยาบาลใน 2Q  ซึ่ง BCH และ CHG ได้อานิสงส์จากการเข้ารักษาตามเกณฑ์เดิม เพราะผู้ป่วยจะเลือกใช้บริการมากกว่าโรงพยาบาลรัฐ ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการหนัก (ผู้ป่วยสีเหลืองและแดง) จะยังสามารถใช้สิทธิ์ UCEP Plus ซึ่งหมายถึงยังสามารถเข้ารักษาที่โรงพยาบาลใดก็ได้ (ทั้งโรงพยาบาลรัฐ และเอกชน) และ สปสช.ยังจ่ายค่าตรวจโควิด (1,100 บาท) ให้ด้วย  ทั้งนี้ สปสช. ยกเลิกโครงการ hospitel และการตรวจ RT-PCR test ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา

 

SSO ยังคงมาตรการรักษาโควิดเหมือนเดิม แต่จะปรับลดราคาและบริการลง

SSO จะยังคงโครงการ HI แต่ปรับลดราคาลงเหลือ 2,250 บาทต่อราย จากเดิม 12,000 บาท โดยปรับลดค่าอาหาร (2,400 บาท/ราย) และบริการอื่น ๆ ลง ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นของโรงพยาบาลจึงจะลดลงอย่างมาก ทั้งนี้  SSO จะยังคงจ่ายค่าบริการ hospitel ให้ 12,000 บาท/ราย แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาการไม่มากจะเลือก HI มากกว่า ซึ่งหมายความว่ารายได้จะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ hospitel ส่วนใหญ่เริ่มปิดให้บริการแล้ว

 

ผลกระทบทางลบกับ BCH และ CHG

เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด เมื่อเทียบกับรายได้รวมใน 1Q ของ BCH อยู่ที่ 63%, CHG อยู่ที่ 55%, BDMS อยู่ที่ 19%  และ BH อยู่ที่ 14% เกณฑ์ใหม่ที่ออกมานี้จะส่งผลกระทบรายได้และกำไรของ BCH และ CHG มากที่สุด โดยเฉพาะใน 3Q เรายังคงคำแนะนำถือ BCH และ CHG เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากรายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับโควิด ลดลง เราชอบ BDMS และ BH มากกว่า เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สดใสกว่า โดยเราคาดว่ากำไรจะโต +15% และ +39% ต่อปี (CAGR ในอีกสามปีข้างหน้า) จากผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วนทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมารักษาในพยาบาลมากขึ้น