ช่วงสั้นมีโอกาสฟื้น ก่อนตลาดอาจจะกลับมากังวลผลประกอบการ 

ช่วงสั้นมีโอกาสฟื้น ก่อนตลาดอาจจะกลับมากังวลผลประกอบการ 

ภาพรวมการลงทุนมีโอกาสฟื้นจาก Window dressing หลังตลาดตอบรับปัจจัยลบเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปพอสมควรแล้ว ขณะที่นักลงทุนเริ่มหมุนกลุ่มล็อคกำไรในหุ้นที่ขึ้นมามากและพักเงินในกลุ่มที่ยังปรับขึ้นน้อย

ทำให้ตลาดหุ้นมีโอกาสลุ้นฟื้นตัวก่อนที่จะกลับไปกังวลเกี่ยวกับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/65 ที่หุ้นจำนวนมากคาดจะได้รับผลกระทบจากกรณียูเครน-รัสเซีย และการปิดเมืองที่จีน ทั้งนี้กลุ่มที่ยัง Laggard นับจากโควิดเป็นต้นมาคือ สื่อสาร, ค้าปลีก ขณะที่หุ้นที่เคลื่อนไหวแย่กว่าตลาดนับจากต้นปี (YTD) ได้แก่ ธนาคาร, การเงิน และบรรจุภัณฑ์, โรงไฟฟ้า // เราประเมินหุ้นรายตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ดีในช่วงปิดไตรมาส โดยหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, MAKRO, CPALL, MC, CRC, OSP, BBL, MTC, TIDLOR, SAWAD, SCGP, BGRIM, GPSC เป็นต้น

เหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามช่วง 2 สัปดาห์นี้ ได้แก่ 1) การประชุมโอเปคและพันธมิตร (30 มิ.ย.) 2) การครบกำหนดขอคำสั่งประธานาธิปดี (6 ก.ค.) ที่เปิดโอกาสให้อาจเห็นการปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งจะบวกต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ 3) การเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ มิ.ย. ของสหรัฐฯ (13 ก.ค.) 4) การรายงานงบกลุ่มธนาคารไทย (13-20 ก.ค.) 5) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (26-27 ก.ค.) // ทั้งนี้ดัชนีการปรับประมาณการกำไร (Global Earnings Revision Index) สัปดาห์นี้ กลับมามีโมเมนตัมเร่งตัวในแดนลบ โดยปรับลดลง -0.17 และหุ้นสหรัฐฯ -0.31 ทำให้เราประเมินการรายงานผลประกอบการของหุ้นสหรัฐฯ อาจกระทบกับจิตวิทยาการลงได้ 
 

 

 

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR 4) กลุ่มอาหารและเกษตร CPF, GFPT, TFG, TU, KSL, KTIS, KBS, BIS, ASIAN  5) หุ้นประกัน TIPH, BLA, TVI, THREL (แค่เก็งกำไรรับไทยประกันเข้า IPO) 6) หุ้นพลังงาน-ปิโตรที่ไม่กระทบจากการขอความร่วมมือ IVL, OR 7) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA

ภาพรวมกลยุทธ์: ฟื้นตัวจาก Wimndow dressing ในกรอบการแกว่ง 1,540-1,590 จุด เน้นเลือกเก็งกำไรหุ้นที่โมเมนตัมกำไรเป็นบวก (ท่องเที่ยว อาหาร) ทยอยสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นในช่วงครึ่งหลัง (กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก การเงิน) และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน (DR และ ETF อิงหุ้นจีน) //หุ้นแนะนำ:  BABA80*, MAJOR*, SAWAD*, MAKRO*

แนวรับ: 1,557 / แนวต้าน : 1,577-1,585 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

 


 

ประเด็นการลงทุน

IMF หั่นจีดีพีสหรัฐเหลือ 2.9% ปีนี้ เชื่อเลี่ยงภาวะถดถอยได้ – กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยคาดการณ์ในวันศุกร์ (24 มิ.ย.) ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐจะขยายตัว 2.9% ในปีนี้ ซึ่งลดลงจากที่เคยคาดการณ์ไว้ครั้งล่าสุดในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่าจะขยายตัว 3.7%

สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้นในเดือนพ.ค. สวนทางคาดการณ์ - พุ่งขึ้น 10.7% สู่ระดับ 696,000 ยูนิตในเดือนพ.ค. คาดจะลดลงสู่ระดับ 588,000 ยูนิต

เฟดไฟเขียวแบงก์ใหญ่สหรัฐผ่านทดสอบ Stress Test เปิดทางจ่ายปันผล-ซื้อหุ้นคืน – ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐสามารถผ่านการทดสอบดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเฟดยังคงมีความเชื่อมั่นต่อภาคธนาคาร 

รัสเซียผิดนัดชำระหนี้สกุลเงินต่างประเทศครั้งแรกในรอบกว่า 100 ปี - เป็นผลมาจากการที่ชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งรวมถึงการปิดช่องทางการชำระหนี้ให้กับกลุ่มเจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อตอบโต้รัสเซียที่ใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน ทั้งนี้ รัสเซียมีกำหนดชำระอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันอาทิตย์ที่ 26 มิ.ย. และนับจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการชำระอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ซึ่งบ่งชี้ว่า รัสเซียได้ผิดนัดชำระหนี้แล้ว

สัญญาณท่องเที่ยวไทยเริ่มฟื้น – สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน เปิดให้สายการบินสัญชาติไทยสามารถทำการบินระหว่างประเทศไทย-จีน ได้แล้วเบื้องต้น 2 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยเริ่มจากเปิดให้ประชาชนในกลุ่มนักธุรกิจ นักเรียน และนักศึกษาก่อน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจีนได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศแล้ว จึงถือเป็นสัญญาณดีของในการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยว

ประเด็นติดตาม: 27 มิ.ย. – US Core Durable Goods Orders, US Pending Home Sales, ECB President Lagarde Speaks / 28 มิ.ย. – US CB Consumer Confidence / 29 มิ.ย. – US GDP (QoQ) (Q1), US Crude Oil Inventories, US Manufacturing PMI, Fed Chair Powell Speaks

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)