“กองทุนน้ำมัน” ติดลบแล้วกว่า 1 แสนล้าน ลุ้น “พลังงาน” เร่งเคาะโรงกลั่น

“กองทุนน้ำมัน” ติดลบแล้วกว่า 1 แสนล้าน ลุ้น “พลังงาน” เร่งเคาะโรงกลั่น

ลุ้น “พลังงาน” เคาะหารือกลุ่มโรงกลั่น ก่อนประชุม กบน. วันนี้ (27 มิ.ย. 65) เพื่อตรึงดีเซลลิตรละ 35 บาท จนถึงสิ้นเดือนนี้ ล่าสุดสถานะ “กองทุนน้ำมัน” ติดลบทะลุ 102,586 ล้านแล้ว กระแสเงินสดเหลือเพียง 3,310 ล้าน

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน ระบุว่า นาสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งให้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เดินหน้าหารือกับ 6 กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน ประกอบด้วย 

  1. บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP
  2. บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC
  3. บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC
  4. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP
  5. บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO
  6. บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC

ทั้งนี้ ประเด็นหลักของการหารือคือการดำเนินวิธีไหนที่จะขอความร่วมมือในการเก็บกำไรส่วนเกินจากการกลั่นน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนอาจจะมีกำไรมากกว่าในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้กับสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ในช่วงที่กองทุนน้ำมันอยู่ระหว่างเดินหน้าหาแหล่งเงินกู้เพื่อมาพยุงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ภาคครัวเรือน

สำหรับประมารฐานะกองทุนน้ำมันวันที่ 26 มิ.ย. 2565 ติดลบแล้วที่ 102,586 ล้านบาท ถือว่าติดลบสูงที่สุดในประวัติการณ์ แบ่งเป็น

  • บัญชีน้ำมันติดลบ 81,861 ล้านบาท
  • บัญชี LPG ติดลบ 39,115 ล้านบาท

ในขณะที่กระแสเงินสดเหลือเพียง 3,310 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • เงินฝากในบัญชี 2,310 ล้านบาท
  • เงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง 1,000 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า การหารือกับโรงกลั่นสิ่งที่ยากคือการจะใช้กฎระเบียบเรียกเก็บเงินที่จะไม่เป็นการขัดกฎหมายเนื่องจากกลุ่มโรงกลั่นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องตรวจสอบข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะการดำเนินการแล้วกระทบกับผู้ถือหุ้น เพราะธุรกิจโรงกลั่นถือเป็นธุรกิจที่เสรี อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อไปในอนาคต